หน้าแรก

 

 

ยินดีต้อนรับสู่ HONG QIPAO SHOP

www.hongqipaoshop.com 

LINE; 0873009294
เบอร์โทร  0873009294

 

 
 
 
    ประวัติศาสตร์ของประเทศจีนมีมานานถึง 5 พันปี วัฒนธรรมเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายของชาวจีนก็มีมายาวนานไม่แพ้กัน ซึ่งในระยะเวลา 5 พันปีมานั้น  ชาวจีนได้รับอิทธิพลเครื่องแต่งกายจากชนกลุ่มน้อย เผ่าต่าง ๆ ในประเทศจีน  รวมถึงวัฒนธรรมการแต่งกายเสื้อผ้าของชาวต่างชาติ ผสมผสานกันจนเป็นลักษณะพิเศษของการแต่งกายชาวจีนในยุคนั้น ๆ ซึ่งการแต่งกายของชาวจีนนั้นมีความเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง และดูเหมือนว่าจะมีการพัฒนาต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง

 

           เนื่องจากชนกลุ่มน้อยเผ่า ๆ ต่างในประเทศจีนมีอยู่ถึง 42 เปอร์เซนต์ ของประชากรจีนทั้งหมด ซึ่งเมืองที่มีชนกลุ่มน้อยอาศัยอยู่เยอะที่สุดคือเมือง หวินหนาน จึงจำเป็นที่จะต้องแยกประเภทวัฒนธรรมการแต่งกายของชาวจีนออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มวัฒนธรรมการแต่งกายแต่ละยุคสมัยของชาวจีนและกลุ่มการแต่งกายของชนกลุ่มน้อยต่าง ๆ ในประเทศจีน ซึ่งมีอยู่ถึง 50 กว่า ชนเผ่า  ชนกลุ่มน้อยเหล่านี้มักจะมีการแต่งกายที่มีลักษณะเอกลักษณ์และมักจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย ในฉบับนี้ผู้เขียนจะขอกล่าวถึงวัฒนธรรมการแต่งกายแต่ละยุคสมัยของชาวจีนโดยสังเขป

 


 

 
วัฒนธรรมการแต่งกายแต่ละยุคสมัยของชาวจีน 

     สมัยฉิน  (221-220 ปีก่อนคริสต์ศักราช)     เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายสมัยฉินได้รับอิทธิพลจากแนวคิดอิ๋นหยางความสมดุลของสรรพสิ่ง กฎแห่งความสมดุลของธรรมชาติ) เนื่องจากยุคสมัยฉินค่อนข้างจะสั้น ดั่งนั้นสีของเสื้อจะเป็นการผสมผสานระหว่างสีเสื้อผ้าที่ฉินซีฮ่องเต้เป็นผู้กำหนดและสีเสื้อผ้าตามประเพณีจารีตของยุคจ้านกั๋ว
 
     เสื้อผ้าผู้ชายสมัยฉินเป็นลักษณะเสื้อคลุมยาว ฉินซีฮ่องเต้ได้กำหนดให้ใช้สีดำเป็นหลักในการตัดเย็บสำหรับเสื้อผ้าพิธีการ โดยเชื่อว่าสีดำเป็นสีที่คู่ควรแก่การได้รับความเคารพ ข้าราชการยศระดับ 3 ขึ้นไปให้ใช้สีเขียวประกอบในการตัดเย็บ ประชาชนทั่วไปใช้สีขาวประกอบในการตัดเย็บ เสื้อผ้าผู้หญิง ฉินซีฮ่องเต้ไม่ได้มีการกำหนดสีในการตัดเย็บเนื่องจากท่านชื่นชอบสีสันความสวยงามของเสื้อผ้าที่นางสนมในวังสวมใส่ จึงเน้นเสื้อผ้าที่มีสีสันสวยหรู ฉูดฉาด
 

 
 
     สมัยฮั่น (202 ปีก่อนคริสตศักราช – ค.ศ. 8)   เสื้อผ้าสมัยฮั่น จะประกอบด้วย เสื้อคลุมยาว เสื้อลำลองแบบสั้น เสื้อนวมสั้น  กระโปรง (ผู้หญิง) และ กางเกง (ผู้ชาย) ในยุคนี้ผ้าที่มีลักษณะการถักทอได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก  ดังนั้น คนที่มีเงินในสมัยนั้นจะสวมใส่เสื้อผ้าที่ทำจากผ้าแพรต่วน ซึ่งมีความสวยงามมาก โดยทั่วไปผู้ชาย จะสวมเสื้อสั้น กางเกงขายาว  และหากฐานะยากจน จะสวมเสื้อแขนสั้นที่ตัดเย็บด้วยผ้าหยาบ  ในส่วนของผู้หญิงในสมัยฮั่นเสื้อผ้ามีตั้งแต่เป็นลักษณะเสื้อและกระโปรงต่อกัน (กี่เพ่า) และแยกเสื้อกระโปรงเป็น 2 ชิ้น  กระโปรงจะมีลวดลายหลากหลายมาก กระโปรงที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในสมัยนั้น คือ “กระโปรงลายเทพสถิตย์ ”ระดับชั้นของข้าราชการในสมัยฮั่น จะมีหมวกและสายประดับยศเป็นสัญลักษณ์ในการแบ่งชั้นของขุนนาง ซึ่งสมัยนั้น ตำแหน่งอัครเสนาบดีเป็นขุนนางตำแหน่งสูงสุด
 
 

 
 
     สมัยเว่ยจิ้น หนานเป่ย ( ค.ศ.220- ค.ศ.589) สมัยเว่ยจิ้น หนานเป่ย หรือที่เรารู้จักกัน “สมัยสามก๊ก” ก็อยู่ในยุคนี้ สมัยเว่ยจิ้น หนานเป่ยจัดได้ว่าเป็นสมัยที่ศาสนาพุทธและลัทธิเต๋าเฟื่องฟู เครื่องแต่งกายชายหญิง ไม่ว่าจะเป็นกษัตริย์ เชื้อพระวงศ์ จนถึงประชาชนทั่วไป เสื้อผ้า จะมีลักษณะหลวมยาว และมีเข็มขัดคาด หากเป็นเสื้อผ้าผู้ชายจะมีการเปิดแผงหน้าอกเล็กน้อย ไหล่เสื้อลู่ลง แขนเสื้อกว้าง สวมใส่ดูสบาย (ทั้งนี้แล้วแต่มุมมองของผู้อ่าน เนื่องจากบางท่านก็เห็นว่าแลดูลุ่มล่าม) ในส่วนของเสื้อผ้าผู้หญิง เสื้อกี่เพ่าแลดูเป็นกระโปรงยาวลากพื้น แขนเสื้อกว้าง เข็มขัดจะคาดให้ดูเป็นชั้น ๆ  ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสุภาพ และสง่างาม
 
 

 

 
     สมัยสุ่ย และสมัยถัง  (ค.ศ. 581-ค.ศ. 907)   เสื้อผ้าของสมัยสุ่ยและสมัยถังมีรูปแบบเสื้อผ้าที่มีความใกล้เคียงกันสูง เสื้อผ้าต้นสมัยสุ่ยค่อนข้างจะเรียบง่าย  เสื้อผ้ายังคงมีลักษณะกี่เพ่าหรือเสื้อคลุมยาว เมื่อกษัตริย์สุ่ยหยางขึ้นครองราชย์ ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นในสังคม ซึ่งส่งผลให้เสื้อผ้าในยุคสมัยดังกล่าวได้มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบให้สวยงามขึ้นเช่นกัน
 
 

                  เสื้อผ้ากษัตริย์สมัยสุ่ยและถัง                        เสื้อผ้าผู้หญิงสมัยสุ่ย
 
 
   
 ในสมัยถัง นับได้ว่ามีความเจริญทั้งในด้านวัฒนธรรมและเศรษฐกิจเป็นอย่างมาก ดังนั้นเสื้อผ้าในสมัยนี้จัดได้ว่ามีความสวยงามยิ่ง เสื้อผ้าพิธีการของสตรีชั้นสูงจะมีลักษณะเปิดหน้าอก คอเสื้อต่ำ แขนเสื้อยาวและใหญ่ สวมเสื้อกระโปรงที่ทำจากผ้านวม มีผ้าคลุมไหล่ สมัยนั้นเทคนิคสิ่งทอถือว่ามีความล้ำหน้าเป็นอย่างมาก ขณะเดียวกันก็ได้รับวัฒนธรรมแบบเสื้อผ้าจากต่างชาติเข้ามาผสมผสานเข้าไว้ด้วยกัน (เกาหลี ,ญี่ปุ่น) ดังนั้นสามารถกล่าวได้ว่าสมัยถังเป็นยุคที่เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายเฟื่องฟูเป็นอย่างมาก
 
 

                           เสื้อผ้าผู้หญิงสมัยถัง                     เสื้อผ้าผู้ชายสมัยถัง 
 
   
 สมัยซ่ง  (ค.ศ.960 - ค.ศ.1279)  แบบเสื้อผ้าสมัยซ่งยังคงได้รับอิทธิพลตกทอดมาจากสมัยถัง แต่เนื่องจากสมัยนั้นแนวความคิดปรัชญา(ของสำนักขงจื้อ) เฟื่องฟู  พฤติกรรมของผู้คนส่วนใหญ่คล้อยตามแนวคำสอนของท่านขงจื้อ มีรสนิยมชื่นชมในความเป็นธรรมชาติ ส่งผลให้แบบเสื้อผ้าของผู้คนในสมัยซ่งไม่เน้นลวดลายสีฉูดฉาด เครื่องแต่งกายเสื้อผ้าของข้าราชการจะเป็นเสื้อคลุมยาว แขนเสื้อใหญ่  สวมหมวกประจำตำแหน่ง มีการแบ่งสีเสื้อผ้าเพื่อบ่งบอกยศตำแหน่ง ในส่วนของเสื้อผ้าสตรี เป็นลักษณะเสื้อคลุมตัวใหญ่และยาว ช่วงคอตรง  ผ้าในส่วนรักแร้ทั้งสองข้างตัดแยกออกจากกัน หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “เสื้อกั๊กสมัยซ่ง”  แบบเสื้อผ้านี้ได้รับความนิยมในหมู่นางสนมในวังและสตรีทั่วไปในสมัยนั้น
 
 
 

                                         เสื้อกั๊กสมัยซ่ง                                        เครื่องแต่งกายสตรี
 
 
 
     สมัยเหวี่ยน   (ค.ศ.1206 - ค.ศ.1368)  สมัยเหวี่ยนเป็นสมัยที่มองโกลได้เค้ามายึดครองเมืองจีน แต่ทว่าวัฒนธรรมการแต่งกายยังคงได้รับอิทธิพลจากชาวฮั่นอยู่ ดังนั้นเครื่องแต่งกายในสมัยนี้จึงเป็นการผสมผสานระหว่างกลิ่นอายมองโกลและฮั่น เสื้อผ้าชายหญิงในสมัยเหวี่ยนไม่ได้มีความแตกต่างกันเท่าไหร่นัก ยังคงเป็นลักษณะกี่เพ่าหรือชุดคลุมยาว มีเทคนิคการทอโดยการใช้วัตถุดิบผ้าทอง และขนสัตว์ ในการทอเสื้อผ้า เพื่อเป็นการแบ่งระหว่างการตัดเย็บแบบมองโกล และการตัดเย็บแบบฮั่น ชาวมองโกลจะมีเอกลักษณ์เครื่องแต่งกายที่นอกเหนือจากกี่เพ่ายาวแล้ว ยังนิยมสวมหมวก “กูกู” เสื้อตรงหน้าอก เบ้ไปทางซ้าย ยาวและลึก สวมกระโปรงยาวทับ รองเท้าบูธหนังนิ่ม    หากเป็นเสื้อผ้าสตรีชาวฮั่นโดยทั่วไปแล้วยังคงสืบทอดการแต่งกายสมัยซ่งอยู่ เสื้อตรงหน้าอก เบ้ไปทางขวา มีผ้าคลุมไหล่ สวมกระโปรงจับจีบ สวมรองเท้าเรียบติดพื้น
 
 

                            เสื้อผ้าบุรุษสมัยเหวี่ยน                                  เสื้อผ้าสตรีสมัยเหวี่ยน
 
 
 
     สมัยหมิง  (ค.ศ.1368 - ค.ศ.1645) ในสมัยหมิงหรือสมัยแมนจูได้ให้ความสำคัญกับการฟื้นฟูวัฒนธรรมของชาวฮั่น ดังนั้นเครื่องแต่งกายจะมีกลิ่นอายการผสมผสานระหว่างสมัยฮั่น  ถังและซ่ง เสื้อผ้าชายจะเน้นเสื้อคลุมยาว เป็นหลัก ข้าราชการจะเน้นสวมใส่ชุด “ปู่ฝู” สวมหมวกผ้าแพรบาง สวมเสื้อคอกลม ลายผ้าตรงกลางเสื้อคลุมยาวบ่งบอกถึงยศตำแหน่งทางราชการ สมัยนั้นผู้ชายทั่วไปยังนิยมสวมหมวกผ้าแบบสีเหลี่ยมอีกด้วย ในส่วนของชุดแต่งกายสตรี สวมเสื้อกันหนาวที่มีซับในแบบจีน พกผ้าคลุมที่มีไว้พาดไหล่สีแดง  หรือพัด และสวมกระโปรงเป็นต้น

     รูปแบบเสื้อผ้าส่วนใหญ่ เช่น เสื้อกั๊กยาว ยังคงลอกเลียนมาจากสมัยถังและซ่ง นางในสมัยหมิงนิยมสวมใส่เสื้อผ้าที่ดูน่าเลื่อมใส สวมเสื้อก๊กเป็นชุดนอก แขนเสื้อแลดูเข้ารูป กระโปรงจีบข้างในสวมกางเกงขายาว ในสมัยหมิงหญิงสาวเริ่มนิยมพันเท้าให้เล็กหรือเรียกกันว่า “เท้ากลีบดอกบัว”
 
 

         เครื่องแต่งกายชาย สวมหมวกผ้าทรงสี่เหลี่ยม              เสื้อกั๊กและเสื้อผ้าสตรี
 
 
     สมัยชิง  (ค.ศ.1644 - ค.ศ.1911 )    เครื่องแบบสมัยชิงยังคงได้รับการตกทอดมาจากสมัยหมิง ในขณะเดียวกันก็รับเอาจุดเด่นของแบบเสื้อสมัยฮั่นเข้ามาประยุกต์ด้วย เสื้อผ้าผู้ชายยังคงเน้นเสื้อคลุมยาว เสื้อแจ๊คเก็ตแบบจีน  เสื้อชั้นในแบบยืดลักษณะเป็นเสื้อกล้าม  โกนศรีษะออกครึ่งนึง อีกครึ่งทักเปียยาว เสื้อแจ๊คเก็ตแบบจีนจะสวมทับไว้ด้านนอกของชุดเสื้อคลุมที่หลวมยาว ชุดลักษณะดังกล่าวจัดได้ว่าเป็นชุดพิธีการ ชุดแต่งกายที่เป็นเสื้อและกระโปรงของผู้หญิงสมัยนั้นเป็นลักษณะผสมผสานระหว่างชาวฮั่นกับชาวแมนจู  โดยเฉพาะกี่เพ่าเป็นลักษณะของชาวแมนจูอย่างเห็นได้ชัด นอกเหนือจากนี้ยังมีเสื้อกั๊ก  กระโปรง  ผ้าคลุมไหล่  สายรัดเอว เครื่องแต่งกายต่าง ๆ เรียกได้ว่าถอดมาจากสมัยหมิงหรือแมนจูเลยก็ว่าได้ ประเพณีการรัดเท้ายังคงสืบทอดมาถึงสมัยชิง
 
 

      เครื่องแต่งกายบุรุษและสตรีสมัยชิง        สภาพเท้าของสตรีที่รัดเท้าเมื่อเอาผ้าพันเท้าออก
 
 
 
     สมัยปฏิวัติซินไฮ่  (ค.ศ.1911-ค.ศ.1949) ในยุคสมัยปฎิวัติซินไฮ่ หรือยุคปฏิวัติราชวงศ์ชิง เครื่องแต่งกายของชาวจีนนับวันยิ่งเกิดการเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งวัฒนธรรมการแต่งกายแบบชาวตะวันตกเริ่มเข้ามา ทำให้ไม่ว่าจะเป็นชุดเสื้อคลุมยาวหลวมของผู้ชาย กี่เพ่าผู้หญิง เสื้อกั๊ก  กางเกงและกระโปรง ล้วนถูกดัดแปลงผสมผสานระหว่างแบบเสื้อตะวันตกและแบบเสื้อจีน อีกทั้งในยุคดังกล่าวยังได้ถือกำเนิดแบบเสื้อใหม่ในยุคนั้น คือ ชุดฟรอม์จงซาน  ชุด ฟรอม์นักเรียนนักศึกษา ซึ่งได้รับความนิยมกันอย่างกว้างขวาง
 
 

 
     ปัจจุบัน แม้วัฒนธรรมการแต่งกายของชาวจีนจะไม่สามารถคงความเป็นรูปแบบเอกลักษณ์เครื่องแต่งกายประจำชาติได้อย่างประเทศในแถบอินเดีย เนื่องจากได้รับเอาค่านิยมแบบเสื้อผ้าจากชาวตะวันตกมาเป็นส่วนใหญ่ แต่เราก็ยังคงได้พบเห็นแบบแฟชั่นที่บ่งบอกความเป็นเอกลักษณ์ของชาวจีน เช่น ปกเสื้อคอจีน กี่เพ่า เป็นต้น ซึ่งยังเป็นที่นิยม คงความสวยงามและเป็นแบบเสื้อที่ไม่มีวันตาย  **
 
ขอบคุณที่มา http://www.thaigoodview.com/node/83316

 

ประวัติกี่เพ้า

 กำเนิด กี่เพ้า นั้น เริ่มมาตั้งแต่สมัยที่แมนจูปกครองประเทศจีน ในสมัยราชวงศ์ชิง คนแมนจูกลายเป็นชนชั้นสูงในสังคม ผู้หญิงแมนจูมักจะใส่ชุดเดรสชิ้นเดียว ซึ่งแต่เดิม เป็นชุดที่ใช้ในชีวิตประจำวันของชาวแมนจูทั้งชายและหญิง คล้ายกับ กี่เพ้า ใช้ผ้าคล้ายๆกัน แต่เรียกว่า ChangPao 

เจ้าหญิงในราชวงศ์ชิงตอนปลาย (ปลายศตวรรษที่ 19)

credit : http://poeticoneirism.blogspot.com

 

            แม้แต่ผู้หญิงในตระกูลขุนนาง และราชวงศ์ในสมัยราชวงศ์ชิง ก็ใส่ชุด กี่เพ้า นอกจากนั้นแล้ว ตั้งแต่ยุคต้นๆราชวงศ์ชิง (ประมาณปี 1645) ก็ยังมีการออกกฏให้ชาวฮั่นทุกคนใส่ชุด กี่เพ้า รวมไปถึงการตัดผมทรงแมนจู ซึ่งผู้ที่ไม่ปฏิบัติตาม จะมีโทษประหาร

 

ตำนานเกี่ยวกับกี่เพ้า


                  มีตำนานเกี่ยวกับ กี่เพ้า เล่าไว้ว่า มีหญิงสาวชาวประมงคนหนึ่ง อาศัยอยู่บริเวณทะเลสาป จิงโป นอกจากจะเป็นคนสวยแล้ว ยังเป็นหญิงสาวที่มีความฉลาดและเก่งมากอีกด้วย แต่ทุกครั้งที่เธอออกหาปลา เธอมักรู้สึกขัดใจกับชุดที่ยาวและลุ่มล่ามของเธอ เธอจึงคิดว่า น่าจะออกแบบชุดเดรสที่เหมาะกับการหาปลาของเธอมากกว่านี้ เธอจึงออกแบบให้มีลักษณะคล้ายเสื้อคลุมยาว ติดกระดุมเป็นแถวที่สามารถเปิดที่ด้านหน้าได้ นั่นทำให้งานของเธอง่ายขึ้นเยอะ


            ขณะเดียวกัน จักรพรรดิหนุ่มของจีนในเวลานั้น เกิดนิมิตฝันขึ้นในคืนหนึ่ง ในฝัน พระบิดาของจักรพรรดิที่ได้สวรรคตไปแล้ว มาบอกว่า หญิงสาวชาวประมงแถวทะเลสาป จิงโบ ใส่ชุด กี่เพ้า จะได้กลายมาเป็นพระราชินี. หลังจากที่จักรพรรดิทรงตื่นขึ้น จึงส่งคนไปตามหาหญิงสาวชาวประมงคนนั้น และก็ได้พบตัวหญิงสาวผู้นั้น ในที่สุด หญิงสาวชาวประมงกับชุด กี่เพ้าของเธอ ก็กลายเป็นที่นิยมของชาวแมนจูไปด้วย


          รูปทรงดั้งเดิมของ กี่เพ้า   จะเป็นทรงกว้าง หลวมๆ คลุมรูปร่างเกือบทั้งตัวของผู้หญิง จะเหลือก็เพียง หัว มือ เท้า เท่านั้น ซึ่งในเวลาต่อมา ยุคปี 1920 ในเซี่ยงไฮ้ กี่เพ้า ถูกพัฒนาขึ้นใหม่ เนื่องจากคนในยุคนั้น ต้องการอะไรที่แฟชั่น ทันสมัย ซึ่ง กี่เพ้า กลายเป็นแฟชั่นที่โดนใจ

 

        กี่เพ้า ถูกปรับปรุงให้รัดรูป สั้นขึ้น โชว์ทรวดทรง แตกต่างจาก กี่เพ้า ดั้งเดิมมาก กลุ่มคนที่มีอิทธิพลต่อ กี่เพ้า ในยุคนั้นก็จะเป็นชนชั้นสูง,บุคคลที่มีชื่อเสียง เดิมที กี่เพ้า ในยุคนั้นถูกเรียกว่า Zansae หรือแปลว่า เดรสยาว ในภาษาอังกฤษ เรียกว่า Cheongsam นั่นเอง

 

Yao Lee นักร้องหญิงชื่อดังจากเซี่ยงไฮ้ ช่วงปี 1930-1940

credit : http://superheidiz.blogspot.com

 

          ปี 1930 กี่เพ้า ได้รับความนิยมไปทั่วประเทศจีน ซึ่งมีลักษณะที่หลากหลายมากขึ้น มีทั้งแบบสั้น แบบยาว มีปกและไม่มีปก และก็ยังถูกพัฒนาต่อไปอีก ตามแฟชั่นของโลกตะวันตก เช่น ทำปกสูง และ เป็นเดรสแขนกุด หรือ แขนเป็นทรงกระดิ่ง

 

           ปี 1940 กี่เพ้า ถูกผลิตด้วยผ้าหลากหลายชนิดมากขึ้นเพื่อให้เหมาะสมกับสถานการณ์ต่างๆ ในฤดูร้อน กี่เพ้า ถูกดัดแปลงโดยการตัดแขนออกเพื่อความสบาย ซึ่งในยุคนี้ กี่เพ้า จะไม่ค่อยมีการตกแต่งอะไรมากนัก

 

 

           ปี 1949 เมื่อถึงยุคคอมมิวนิสต์ แฟชั่นทั้งหลายก็ถูกลดบทบาทลง แต่ชาวเซี่ยงไฮ้ส่วนหนึ่ง ก็ได้อพยพไปอยู่ฮ่องกง และก็ได้นำเอาแฟชั่นต่างๆไปด้วย ทำให้แฟชั่นแบบเซี่ยงไฮ้นี้ ยังคงอยู่ต่อไป

 

            ปี 1950 ผู้หญิงที่ทำงานใช้แรงงานในฮ่องกง มักใส่ชุด กี่เพ้า ที่ดัดแปลงให้เหมาะกับการทำงาน ผลิตจากผ้าขนสัตว์ ทอเป็นลาย Twill (ลายซี่โครงที่คู่ขนานกัน) และเริ่มถูกผสมผสานกับเสื้อผ้าที่ใส่สบายมากขึ้น เช่น เริ่มใส่คู่กับ เสื้อ กางเกงยีนส์ หรือชุดสูท กระโปรงต่างๆ

 

           กี่เพ้า เริ่มถูกใช้เป็นชุดที่ดูทางการขึ้น หรือดาราหลายๆคนก็ใส่สำหรับงานแสดง โดยเฉพาะในไต้หวัน และ ฮ่องกง เช่น

                     -     ในปี 1960 Nancy Kwan ดาราสาวชาวฮ่องกง ใส่ชุดกี่เพ้าในหนังเรื่อง The World of Suzie Wong หนังที่โด่งดังทั้งในอังกฤษและอเมริกา นำแสดงคู่กับพระเอก William Holden แสดงให้เห็นถึงความชื่นชอบ กี่เพ้า ของโลกตะวันตก

 

William Holden และ Nancy Kwan จากหนังเรื่อง The World od Suzie Wong ปี 1961

credit : http://iwontloveyoulongtime.blogspot.com

 

จางม่านอี้ และ เหลียงเฉาเหว่ย ในหนัง In The Mood For Love (ปี 2000)

หนังรักโรแมนติกย้อนยุค ในบรรยากาศของฮ่องกงปี 1960

credit : http://justunderthesurface.wordpress.com

 

          ในปัจจุบัน กี่เพ้า ยังคงเป็นแฟชั่นที่แสดงถึงวัฒนธรรมของหญิงชาวจีน บางสายการบิน ก็ใช้เป็นยูนิฟอร์มด้วย เช่น China Airlines เป็นต้น หรือแม้แต่โรงเรียนประถม มัธยม ในฮ่องกง ก็ใช้เป็นยูนิฟอร์มเช่นกัน

 

              กี่เพ้า ยังเป็นแรงบันดาลใจให้กับดีไซน์เนอร์ทั่วโลก ด้วยความคลาสสิค ที่ดึงเอาเสน่ห์ของหญิงสาวเอเชียออกมาได้อย่างงดงาม ทั้งแบรนด์อย่าง CD , Versace และ Ralph Lauren ก็ผสมผสานเอา กี่เพ้า มาใช้ในคอลเลคชั่นด้วยกันทั้งนั้น มนต์เสน่ห์ของ กี่เพ้า จึงยังคงอยู่ในโลกของแฟชั่นไปอีกแสนนาน ตรุษจีนปีนี้ อย่าลืมหา กี่เพ้าน่ารักๆ มาใส่กันนะคะ จะได้เข้ากับบรรยากาศ :)

 

KissKissKissKissKissKissKiss

 

   ชีวิตคนเมืองจีน / ใครจะคิดว่าชุดประจำชาติของสาวจีนหรือกี่เพ้า’ ซึ่งถือกำเนิดขึ้นเมื่อเกือบ 400 ปีที่แล้ว จะกลับมาได้รับความนิยมอีกครั้ง ด้วยเอกลักษณ์ของกี่เพ้าที่เรียบแต่สง่า หวานแต่ไม่เลี่ยน ประกอบกับความคิดสร้างสรรค์ของชาวจีนที่รู้จักดัดแปลงให้กี่เพ้าเข้ากับยุคสมัยและความนิยม ทำให้กี่เพ้าไม่เคยล้าสมัย’ และยังครองใจสาวๆได้จนถึงทุกวันนี้ 

 

ชุดแดง : กี่เพ้าสมัยใหม่สไตล์ประยุกต์ / ชุดเขียว : เจ้าหย่าจือ’ ในชุดสมัยราชวงค์หมิง จากผลงาน

ละครชุดล่าสุด ชิงฮวา(ลายคราม)’ ที่กำลังถ่ายทำอยู่

 

InnocentInnocentInnocentInnocentInnocentInnocentInnocentInnocentInnocentInnocent

 

           กี่เพ้าหรือฉีเผา(旗袍) ตามสำเนียงจีนกลางนี้ มีต้นกำเนิดในสมัยราชวงศ์ชิง (ค.ศ.1644-1911) ซึ่งปกครองแบบ แว่นแคว้น(ปาฉี八旗)โดยชนเผ่าแมนจู ผู้นิยมเสื้อผ้าชุดยาวตลอดลำตัวที่เรียกว่าเผา(袍)’ จึงเป็นที่มาของ ฉีเผานั่นเอง โดยได้รับความนิยมสูงสุดในรัชสมัยคังซีและหยงเจิ้ง (ค.ศ.1662-1736) ยุครุ่งเรืองแห่งราชวงศ์ชิง
       
       หลังปีค.ศ.1840 วัฒนธรรมตะวันตกได้ค่อยๆ จู่โจมเข้าสู่แดนมังกรพร้อมกับยุคล่าอาณานิคม เมืองชายฝั่งทะเล โดยเฉพาะเมืองสำคัญอย่างเซี่ยงไฮ้ ซึ่งมีชาวตะวันตกเข้าอยู่อาศัยปะปนกับชาวจีน จึงได้รับอิทธิพลตะวันตกก่อนพื้นที่อื่นๆ ของประเทศ ไม่เว้นแม้แต่แฟชั่นการแต่งกายแบบฝรั่งที่ค่อยๆ แทรกซึม และนำไปสู่การเปลี่ยนแปลง
       

       วิวัฒนาการชุดกี่เพ้า


       รูปแบบของชุดกี่เพ้าที่เราเห็นกันในปัจจุบัน จึงมีวิวัฒนาการจากชุดสตรีชาวแมนจู ที่ถูกสตรีชาวฮั่นนำไปประยุกต์ดัดแปลง ผสมผสานการดูดซับเอาวัฒนธรรมเครื่องแต่งกายที่เน้นส่วนโค้งเว้าเข้ารูปแบบตะวันตก โดยจะมีลักษณะของแขน ปก ชาย การผ่าข้าง และความสั้นยาวเปลี่ยนไปตามความนิยมในแต่ละยุคสมัย 

 

        (ภาพจากซ้าย-ขวา)


       # ชุดกี่เพ้าต้นแบบเดิมในสมัยราชวงศ์ชิงนั้น จะค่อนข้างหลวม ยาวถึงเท้า มักมีปักเลื่อม และกุ้นขอบตลอดชุด


        # พอถึงปลายราชวงศ์ชิง เข้าสู่ยุคสาธารณรัฐ(ตั้งแต่ปีค.ศ.1911) ชุดกี่เพ้าจะผสมแบบชาวฮั่น ที่แยกกระโปรงกับเสื้อเป็นสองชิ้น ช่วงแขนจะสั้นลงและกว้างขึ้น


        # ก่อนสงครามปราบขุนศึกภาคเหนือ(ค.ศ.1926-1927) ชุดกี่เพ้ากลับมายาวอีกครั้ง แต่เป็นแบบแขนกุด ที่ต้องใส่เสื้อแขนทรงระฆังไว้ข้างในอีกที

 

        # ค.ศ.1926 เสื้อแขนทรงระฆังสั้นถูกเย็บติดกับกี่เพ้าชุดยาวเป็นชิ้นเดียวกัน ซึ่งถือเป็น

 

แบบฉบับของชุดกี่เพ้าในปัจจุบัน 

 

 

        (ภาพจากซ้าย-ขวา)


       # อารยธรรมตะวันตกที่หลั่งไหลเข้าสู่จีน ทำให้แฟชั่นทันสมัยในปีค.ศ.1927 ถูกผู้คนขนานนามว่าเป็น ชุดแห่งอารยธรรมใหม่(เหวินหมิงซินจวง)’ คือเสื้อท่อนบนเข้ารูปกับกระโปรงบานยาวถึงข้อเท้า


       # หลังปีค.ศ.1927 ความยาวของกระโปรงเริ่มสั้นลง ส่วนปลายแขนเสื้อก็นิยมอัดกลีบบานคล้ายผีเสื้อ


        # ค.ศ.1930 ด้วยอิทธิพลกระโปรงสั้นแบบยุโรป ส่งผลให้กี่เพ้าสั้นขึ้นอยู่เหนือหัวเข่า นิ้ว และช่วงแขนหดสั้น จนชุดมีลักษณะกระชับเข้ารูปมากขึ้น ซึ่งช่วงนั้น เรียกกี่เพ้าแบบใหม่นี้ว่า ชุดนักเรียน(เสี่ยว์เซิงฝู)’ เนื่องจากเริ่มใช้อย่างแพร่หลายในหมู่นักเรียนก่อน

 

        # หมวยจีนนิยมใส่กี่เพ้าสั้นได้เพียงปีเดียว ค.ศ.1931 ชุดกี่เพ้ากลับมายาวอีกครั้ง แต่เพิ่มความเร้าใจด้วยการผ่าข้างที่ไม่สูงนัก ส่วนแขนก็ยาวขึ้นถึงข้อศอก กระดุมคอเพิ่มเป็น เม็ด และนิยมกุ้นขอบชุดด้วย 

 

(ภาพจากซ้าย-ขวา)


       # นับวันการแต่งกายที่เน้นสรีระแบบตะวันตกก็เข้ามามีอิทธิพลต่อเสื้อผ้าชาวจีนมากขึ้น ค.ศ.1933-1934 แฟชั่นผ่าข้างชุดกี่เพ้าสูงขึ้นเรื่อยๆ ถึงระดับน่อง และรัดรูปเข้าเอวมากขึ้น


        # ในปีถัดมา ค.ศ.1935 สาวจีนนิยมกี่เพ้าที่ยาวคลุมเท้ามิดชิด ซึ่งถูกเรียกว่า กี่เพ้ารุ่นกวาดพื้น(เส่าตี้ฉีเผา)’ แต่กลับผ่าข้างต่ำลงมาอยู่ใต้หัวเข่า


        # วิวัฒนาการของชุดกี่เพ้าฉีกแนวโบราณอีกครั้งในปีค.ศ.1937 จากเดิมที่เป็นแบบกระดุมเปิดอกข้างขาวอย่างเดียว ก็เริ่มมีแบบกระดุมเปิดอกทั้งซ้ายขวา และส่วนแขนสั้นขึ้น คือจะยาวจากช่วงไหล่ลงมาเพียง นิ้ว


        # ค.ศ.1938 ชุดกี่เพ้าในเซี่ยงไฮ้เริ่มนิยมคอปกที่สูงขึ้น ชายกระโปรงยาวคลุมถึงพื้น เน้นรัดรูป และแขนกุด ซึ่งช่วยเพิ่มความเซ็กซี่ให้กับชุดกี่เพ้า 

 

 

 

 

        # (ซ้าย) ช่วงสงครามต่อต้านญี่ปุ่น ความยาวของกี่เพ้าขยับสูงขึ้นอีกครั้งเพื่อความทะมัดทะแมง มีผ่าข้างเล็กน้อย คอปกสูงติดกระดุม เม็ด และแขนสั้น

 

       # (ขวา) ยุคทศวรรษ 40 ที่ผ่านมา กี่เพ้ามักจะมีขอบลวดลายสวยงามทั้งส่วนคอ แขน และชายกระโปรง

 

 

       ตั้งแต่ทศวรรษที่ 50 จนถึงยุคปฏิวัติวัฒนธรรม(ค.ศ.1966-1976) ชุดกี่เพ้าถูกตีตราว่าเป็น

ส่วนหนึ่งของค่านิยมคร่ำครึทั้ง 4 (แนวคิด วัฒนธรรม ประเพณี และวิถีชีวิตแบบเก่า) ที่สมควรถูก

ขจัดให้สิ้นแผ่นดิน

 

                จีน เมื่อผ่านพ้นยุคแห่งความขัดแย้งภายใน เข้าสู่ยุคเปิดประเทศ สังคมจีนเริ่มเปิดกว้างรับแนวคิดใหม่ๆ เสื้อผ้าที่เคยถูกบังคับให้ใช้ได้ไม่เกิน สี คือ ดำ เทา และน้ำเงิน ก็ได้รับการปลดปล่อยให้มีอิสรเสรีทางสีสัน บรรดาสาวจีนจึงเริ่มสลัดชุดฟอร์มสมัยปฏิวัติ แล้วหยิบกี่เพ้าที่ถูกแช่เย็นไว้ราว 30 ปี มาปัดฝุ่นและแปลงโฉม แต่เนื่องจากปิดประเทศไปนาน ทำให้ชุดกี่เพ้าในช่วงทศวรรษที่ 80 ดูค่อนข้างจะเชยไปนิด

 

 

 

ชุดกี่เพ้ายุคหลังปฏิวัติวัฒนธรรมมักจะตัดเย็บออกมาคล้ายรูปขวด โดยส่วนเอวจะคล้ายคอขวด สะโพกค่อนข้างหลวม แขนกุด ถือเป็นดีไซน์ โบราณ’ ผสม โมเดิร์น’ และมักใช้ผ้าที่มีลวดลายมาตัดเย็บ 

    

จางมั่นอี้ว์’ และ เหลียงเฉาเหว่ย’ ถ่ายทอดอารมณ์ความรักแบบลับๆ ในหนังเรื่อง

 ฮวายั่งเหนียนหัว样年华’ (In the mood for love)

 

           กระทั่งปลายปีค.ศ.2000 ‘ฮวายั่งเหนียนหัว花样年华’(In the mood for love) ภาพยนตร์เรื่องเยี่ยมของผู้กำกับหว่องการ์ไว(หวังเจียเว่ย) ออกฉายทั่วประเทศ ปลุกกระแสแฟชั่นชุดกี่เพ้าให้ตื่นขึ้นในแดนมังกรอีกครั้ง เพราะเรื่องนี้ได้ออกแบบให้นางเอก จางมั่นอี้ว์ สวมชุดกี่เพ้าสุดคลาสสิกให้ผู้ชมได้ยลโฉมอย่างจุใจถึง 23 ชุด
       
       

 

        ช่วง 10 กว่าปีมานี้ ชุดกี่เพ้าถูกออกแบบให้ทันสมัย มีรูปลักษณ์ใหม่ๆ ให้เห็นตามเวทีแคทวอล์กอยู่เสมอ ตลอดจนจัดเป็นเครื่องแต่งกายพิธีการของชาติจีนที่ปรากฏในเวทีระดับโลก


       
       ศาสตร์แห่งศิลป์ของชุดกี่เพ้ายังมีความต่างกันระหว่างสไตล์นครเซี่ยงไฮ้กับกรุงปักกิ่ง โดยกี่เพ้าของเซี่ยงไฮ้จะได้รับอิทธิพลเสื้อผ้าแบบตะวันตกมากกว่า มีรูปแบบที่หลากหลาย ดูทันสมัยและคล่องแคล่ว ส่วนสไตล์ปักกิ่งนั้น จะดูเป็นทางการ และสุภาพเรียบร้อย
       

       ทุกวันนี้ชาวจีนส่วนใหญ่ยอมรับกันว่า ช่างตัดเย็บชุดกี่เพ้าฝีมือเยี่ยมนั้นอยู่ที่เซี่ยงไฮ้ ขณะที่มีหลายเสียงลงความเห็นว่า หุ่นเนื้อนมไข่แบบสาวฝรั่ง ใส่ชุดกี่เพ้ายังไงก็ไม่มีเสน่ห์เท่าสาวจีนและสาวเอเชีย!  

   เรียบเรียงจาก Shanghai Online และ เฉียนหลงเน็ต 

 

LaughingLaughingLaughingLaughingLaughingLaughingLaughingLaughingLaughingวง

          เสื้อคอจีนมีชื่อเรียกในภาษาจีนว่า "ถังจวง" ที่จริงแล้วชื่อเรียกนี้เป็นชื่อที่เริ่มเรียกโดยชาวต่างชาติ เนื่องจากราชวงศ์ถังของจีนเป็นยุคสมัยที่เจริญรุ่งเรืองจนมีชื่อเสียงขจรไปไกลถึงต่างแดน ดังนั้นในสมัยต่อๆ มาชาวต่างชาติจึงเรียกคนจีนว่า "ถังเหริน" หรือคนถัง ย่านที่พักอาศัยของชาวจีนหรือไชน่าทาวน์ในประเทศสหรัฐอเมริกา ประเทศอาเซียนและในยุโรปก็เรียกว่า "ถังเหรินเจีย" หรือถนนของคนถัง และชาวจีนโพ้นทะเลเองก็เรียกตัวเองว่า "ถังเหริน" เช่นกัน ที่เรียกกันเช่นนี้ก็เป็นเพราะราชวงศ์ถังเป็นราชวงศ์ที่ชาวจีนภาคภูมิใจมาตั้งแต่สมัยโบราณนั่นเอง ต่อมาจึงมีการเรียกเสื้อผ้าแบบโบราณของจีนที่คนถังในย่านถังเหรินเจียสวมใส่ว่า "ถังจวง" หรือชุดถัง ซึ่งที่จริงแล้วถังจวงไม่ใช่ชุดในสมัยราชวงศ์ถังแต่อย่างใด แต่เป็นชุดของสมัยราชวงศ์ชิงตอนปลาย

ถังจวงหรือเสื้อคอจีนดัดแปลงมาจากเสื้อนอกของชายในสมัยปลายราชวงศ์ชิง แบบเสื้อถังจวงมีลักษณะเด่น ประการคือ

1.  คอเสื้อตั้ง โดยเปิดคอเสื้อด้านหน้าตรงกลางไว้

2. แขนเสื้อและตัวเสื้อเป็นผ้าชิ้นเดียวกัน จึงไม่มีรอยตะเข็บต่อระหว่างแขนเสื้อและตัว             เสื้อ 

3. สาบเสื้อเป็นแนวตรงหรือแนวเฉียง

4.กระดุมเสื้อเป็นกระดุมแบบจีนซึ่งประกอบด้วยเม็ดกระดุมที่ใช้ผ้าถักเป็นปมและห่วงรังดุม

         

        นอกจากนี้ยังมีลักษณะเฉพาะอื่นๆ เช่น ผ้าที่ใช้ส่วนใหญ่เป็นผ้าแพรปักลายหรือผ้าต่วน สีเสื้อมีให้เลือกหลากหลาย โดยมากจะมีสีแดงสด สีแดงคล้ำ สีแดงน้ำตาล สีน้ำเงินไพลินและสีกาแฟเป็นหลัก นอกจากนี้ยังมีสีเหลืองสว่าง สีเหลืองทอง สีเขียวมรกต สีดำและสีทองด้วย

 



 

ฉีผาว (ชุดกี่เพ้า)

ฉีผาวหรือกี่เพ้าเป็นชุดที่ดัดแปลงมาจากชุดของหญิงชาวแปดกองธงในสมัยราชวงศ์ชิง กี่เพ้าเป็นเครื่องแต่งกายที่เกิดจากการหลอมรวมเป็นหนึ่งของชนชาติต่างๆ ของจีนและถือเป็นมรดกทางวัฒนธรรมการแต่งกายของชาวจีน กี่เพ้าเป็นงานตัดเย็บที่รวมเอาศิลปะหลายแขนงไว้ด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นหัตถกรรมการปักลวดลาย ภาพดอกไม้และนกหรือภาพอื่นๆ ซึ่งล้วนสะท้อนให้เห็นถึงเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมของจีน

หากดูตามความหมายของตัวอักษรจีน ฉีผาวหรือกี่เพ้านั้นโดยมากมักหมายถึงชุดเสื้อคลุมยาว เมื่อผ่านวิวัฒนาการมาหลายยุคหลายสมัยจนมาถึงสมัยราชวงศ์ชิง จึงได้มีการตีความหมายจากตัวอักษรคำว่าฉีผาวว่าหมายถึงชุดเสื้อคลุมยาวที่ชาวกองธงทั้งชายและหญิงสวมใส่ ("ฉี" แปลว่า ธง "ผาว" แปลว่า ชุดเสื้อคลุมยาว) แต่ชุดกี่เพ้าในยุคต่อมานั้นพัฒนามาจากชุดเสื้อคลุมยาวที่หญิงชาวแปดกองธงสวมใส่ ต่อมาหญิงชาวฮั่นได้แต่งตัวเลียนแบบหญิงชาวแมนจู ในทางกลับกันหญิงชาวแมนจูและหญิงชาวมองโกลก็แต่งตัวเลียนแบบหญิงชาวฮั่นเช่นกัน การเลียนแบบกันไปมาทำให้เกิดการผสมผสานระหว่างการแต่งกายของหญิงชาวแมนจูและหญิงชาวฮั่น การแต่งกายของหญิงสองชนชาติจึงคล้ายคลึงกันมากขึ้นตามลำดับ จากนั้นจึงค่อยๆ พัฒนาเป็นกลายชุดกี่เพ้ายุคแรกที่เป็นที่นิยมทั่วประเทศจีน ต่อมาเมื่อเครื่องแต่งกายแบบตะวันตกแพร่หลายเข้ามาในประเทศจีน ก็ได้มีการดัดแปลงชุดกี่เพ้าให้เข้ากับลักษณะเด่นของชุดแบบตะวันตกกลายเป็นชุดกี่เพ้าแบบใหม่ที่เรียบง่ายและแพร่หลายสู่คนทั่วไปมากขึ้น

 

ชุดกี่เพ้าในปัจจุบัน  เป็นชุดที่ออกแบบไปตามแฟชั่นมากขึ้น แต่สีของชุดกี่เพ้าก็ยังคงเป็นสีแบบชุดกี่เพ้าโบราณ เช่น  ชุดกี่เพ้าที่ใช้สีแดงสด สีเขียวสดและสีฟ้าสดตัดกับสีแดงและสีดำ นอกจากนี้ยังมีการนำผ้าหลายชนิดมาใช้ในการตัดเย็บและมีรูปแบบหลากหลายให้เลือก ไม่ว่าจะเป็นชุดกี่เพ้าสั้น ชุดกี่เพ้ายาว หรือชุดกี่เพ้าที่ออกแบบตามฤดูกาลทั้งสี่ ได้แก่ ฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน ฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาว 

 

กี่เพ้า ในภาษาจีนเรียกว่า "ฉีผาว" (旗袍) เป็นเครื่องแต่งกายสำหรับสตรีชาวจีน มีลักษณะเหมือนเสื้อ มีชายเสื้อยาวปกคลุมท่อนขา ขนาดพอดีตัว ด้านข้างมีตะเข็บผ่าเพื่อให้ก้าวขาได้สะดวก รูปแบบของฉีผาวในปัจจุบัน ได้รับการปรับปรุงในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1920 ในเมืองเซี่ยงไฮ้ ให้มีรูปทรงแนบกับสรีระ เพื่อเน้นทรวดทรงของผู้สวมใส่ เป็นแฟชั่นที่นิยมในสังคมคนชั้นสูงของจีนในช่วงปลายราชวงศ์ชิง จนถึงช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง มีการดัดแปลงให้ชายฉีผาวสั้นลง ปรับปรุงแบบคอปก และเนื้อผ้าแบบต่างๆ

 

ฉีผาว เป็นเครื่องแต่งกายของหญิงแมนจูในยุคราชวงศ์ชิงในคริสต์ศตวรรษที่ 17 มาจากคำว่า ฉี (旗, ธง) และ ผาว (袍, เสื้อ) ในปี ค.ศ. 1636 ผู้ปกครองจีนในขณะนั้นได้ออกกฎหมายบังคับให้ทุกคน รวมทั้งชาวฮั่นให้แต่งกายและตัดผมแบบแมนจู ในภาษาอังกฤษเรียกเครื่องแต่งกายแบบนี้ว่า Cheongsam มาจากเสียงอ่าน chèuhngsàam ในสำเนียงกวางตุ้ง ของศัพท์เซี่ยงไฮ้คำว่า zǎnze (長衫, 'long shirt/dress') และเรียกเครื่องแต่งกายในลักษณะเดียวกัน สำหรับเพศชายว่า Changshan (長衫; Chángshān)

 

                                   LaughingLaughingLaughingLaughingLaughingLaughingLaughingLaughingLaughingLaughingLaughing

           ซาน จี้ฟาง เขียนบทความถึงกี่เพ้าในนิตยสารข่าวเป่ยจิงรีวิว ว่า ในทศวรรษ 1980-1990 ชุดกี่เพ้าปรากฏโฉมใหม่ที่ใส่กันเฉพาะในหมู่สาวๆ ที่เป็นพนักงานต้อนรับตามโรงแรมและภัตตาคาร ชุดกี่เพ้าแบบนี้ตัดเย็บลวกๆ เน้นแต่สีสันฉูดฉาดและกระโปรงสั้นเกินไป ทำลายภาพเดิมของกี่เพ้าไปโดยปริยาย เจ้า จินหลี่ สาวพนักงานบริษัทโฆษณา กล่าวว่า ในตู้เสื้อผ้าของตน ไม่มีชุดกี่เพ้าแม้แต่ตัวเดียว ตนไม่อยากใส่ เพราะกลัวคนคิดว่าทำงานเป็นสาวต้อนรับหน้าร้านอาหาร หรือแม้แต่โชว์เกิร์ล อย่างไรก็ตาม หวัง จินเฉียว เจ้าของและผู้ก่อตั้งบริษัท เป่ยจิง เก๋อเก๋อ ฉีเพ้า ผู้นำการผลิตชุดกี่เพ้าในจีน กล่าวว่า คนรุ่นใหม่มิควรลืมหรือเมินชุดกี่เพ้า เพราะชุดนี้แสดงถึงบางสิ่งที่ถ่ายทอดจากอดีตและเข้ากับปัจจุบันได้เป็นอย่างดี "ชุดของจีนเป็นความต่อเนื่องทางวัฒนธรรมประเพณีที่ผสมผสานกับชีวิตยุคใหม่ได้ เราควรจะใส่ชุดกี่เพ้าในงานต่างๆ รวมถึงปรับให้ใส่สบายในชีวิตประจำวันได้" จิน ไท่จุน กล่าวเสริม 

 

                 กี่เพ้า ที่เราเรียกกันติดปากนี้    อ่านออกเสียงในภาษาจีนกลางว่า qípáo (ฉีผาว) หรือ "Cheongsam" ออกเสียงสำเนียงกวางตุ้ง เป็นเดรสชิ้นเดียว สำหรับผู้หญิง ส่วนใหญ่ผลิตจากผ้าไหม ลักษณะของ กี่เพ้า จะรัดตรงทั้งตัว ตั้งแต่ส่วนบนถึงส่วนล่าง หรือ อาจจะบานลงส่วนปลายเล็กน้อย คล้ายๆรูปตัว และผ่าด้านข้าง เพื่อความสะดวก นอกจาก กี่เพ้า สำหรับผู้หญิงแล้ว ยังมี Changshan ซึ่งใช้สำหรับผู้ชายอีกด้วย


                 กี่เพ้า เป็นเดรสที่ใส่ในลักษณะค่อนข้างรัดรูป พอดีตัว ยาวคลุมถึงท่อนขา ผ่าด้านข้าง มีบทบาทอย่างมากใน เซี่ยงไฮ้ ยุคปี 1920 ถือว่าเป็นแฟชั่นสำหรับสังคมชั้นสูง ช่วงปลายราชวงศ์ชิง

 

ชุดกี่เพ้าเป็นชุดการแต่งกายของหญิงสาวชาวจีน ที่ในช่วงใกล้เทศกาลตรุษจีนจะเห็นสาวๆ ในบ้านเรานิยมนำมาสวมใส่ให้เข้ากับบรรยากาศ ชุดกี่เพ้าในปัจจุบันมีการออกแบบกันมากมายหลายรูปแบบ ดังนั้นแล้วไม่ว่าคุณจะเป็นสาวในสไตล์ไหนก็สามารถเลือกชุดกี่เพ้าที่เหมาะสำหรับคุณกันได้

  

ที่มา : manager.co.th

 

 

           ชุดกี่เพ้าเป็นชุดแต่งกายประจำชาติของหญิงสาวชาวจีน เป็นลักษณะของตัวเสื้อยาวมีขนาดพอดีตัว ผ่าด้านข้างเพื่อให้เดินได้สะดวก แต่ในปัจจุบันนี้มีการออกแบบชุดกี่เพ้าออกมาหลากหลายรูปแบบ และมีหลายสีสันให้เราสามารถเลือกสวมใส่ได้

 

แฟชั่นชุดกี่เพ้าสวยๆ สำหรับสาวหมวยต้อนรับตรุษจีน

 

         แต่สาวหมวยที่มีผิวขาวส่วนใหญ่จะนิยมสวมใส่ชุดกี่เพ้าสีแดงสด ที่ดูแล้วช่วยทำให้ขับผิวขาวๆ ให้ดูขาวยิ่งขึ้นไปอีก ที่สำคัญในช่วงเทศกาลตรุษจีนในบ้านเราชุดกี่เพ้าจะเป็นชุดที่สาวๆ นิยมนำมาสวมใส่กันเป็นอย่างมากเพื่อให้เข้ากับบรรยากาศ โดยเฉพาะในย่านที่มีคนจีนอาศัยอยู่ค่อนข้างเยอะอย่างแถวย่านเยาวราช ในช่วงเทศกาลตรุษจีนก็รับรองกันได้เลยว่าเราจะเห็นสาวๆ สวมใส่ชุดกี่เพ้าออกมาอวดโฉมกันอย่างมากมาย ในช่วงเทศกาลตรุษจีนถ้าสาวๆ ไปเดินในย่านนั้นแล้วไม่ได้สวมชุดกี่เพ้าอาจจะดูไม่เข้ากับบรรยากาศกันได้เลย ในปัจจุบันชุดกี่เพ้ามีการออกแบบมาให้เหมาะกับสาวๆ ในทุกสไตล์ไม่ใช่เฉพาะสาวหมวยเท่านั้นที่จะใส่ออกมาได้ดูสวย

แฟชั่นชุดกี่เพ้าสวยๆ สำหรับสาวหมวยต้อนรับตรุษจีน

 

       แต่สาวๆ ในสไตล์อื่นอยากลองหยิบชุดกี่เพ้ามาสวมใส่ก็สามารถเลือกรูปแบบและสีสันให้เข้ากับสไตล์ของคุณ เพียงเท่านี้ก็รับรองได้เลยว่าสาวๆ ก็สามารถสวมชุดกี่เพ้าได้สวยไม่แพ้สาวหมวยกันได้แล้วค่ะ อย่างเช่นสาวหวาน ถ้าคุณไม่อยากใส่ชุดกี่เพ้าสีแดงสด คุณก็อาจจะเลือกเป็นชุดสีอื่นเช่น สีชมพู สีฟ้า หรือสาวๆ อาจจะเลือกแบบที่เป็นเสื้อคอจีนและเป็นกระโปรงทรงย้วย ซึ่งแบบนี้ขอเรียกเป็นชุดกี่เพ้าประยุกต์นะคะ ก็เป็นแบบที่เหมาะสำหรับสาวๆ ที่ชอบแต่งตัวสไตล์หวานๆ เป็นอย่างมาก แต่สำหรับสาวเปรี้ยวชุดกี่เพ้าทรงเข้ารูปผ่าด้านข้างแขนกุดสีแดงสดเป็นอะไรที่เหมาะมากสำหรับสาวเปรี้ยวที่สำคัญยังแอบเซ็กซี่กันอีกด้วย หรือสไตล์สาวเท่ๆ คุณอาจสวมชุดกี่เพ้ากับกางเกงสกินนี่ก็ดูเข้ากันเข้ากันเป็นอย่างมาก

ทั้งหมดนี้ก็สามารถบ่งบอกกันได้แล้วว่าชุดกี่เพ้าเหมาะกับสาวๆ ในทุกสไตล์ที่สามารถนำมาประยุกต์สวมใส่หรือจับคู่ใส่กับเสื้อผ้ากางเกงหรือกระโปรงในรูปแบบที่คุณชอบ และยิ่งในปัจจุบันชุดกี่เพ้ายังมีออกมาให้เลือกกันหลายสีสัน ดังนั้นสาวๆ ที่ไม่ได้มีผิวขาวแบบสาวหมวยก็ยังสามารถเลือกสีชุดกี่เพ้าให้เหมาะกับสีผิวของคุณกันได้ไม่ยาก ถ้าสาวๆ คนไหนอยากลองสวมใส่ชุดกี่เพ้าออกไปเดินอวดโฉมอย่างสาวหมวยอย่าลืมมองหาชุดกี่เพ้าที่มีรูปแบบและสีสันเหมาะกับตัวเองแล้วไปเดินอวดโฉมกันบ้างนะคะ

 

 

 

เกาชุนหมิง" สุดยอดปรมาจารย์ชุดกี่เพ้า ผู้สืบสานมรดกวัฒนธรรมอันยิ่งใหญ่ของแดนมังกร

 

ผลจากความโด่งดังเปรี้ยงปร้างของละคร “กี่เพ้า” ทางช่อง 3 ทำให้คนไทยทั้งประเทศหันมาให้ความสนใจกับประวัติศาสตร์ความเป็นมา และวิวัฒนาการของ “ชุดกี่เพ้า” อย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน นอกจาก “ชุดกี่เพ้า” จะมีลวดลายสวยงามโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว เครื่องแต่งกายของชาวจีนชุดนี้ ยังทำหน้าที่จดบันทึกวัฒนธรรมของแต่ละยุคสมัยได้อย่างแม่นยำไม่ผิดเพี้ยน

และเพื่อเผยแพร่มรดกทางศิลปวัฒนธรรมของชาวมังกรให้ระบือไกล “ปรมาจารย์เกาชุนหมิง” ผู้อำนวยการศูนย์มรดกทางศิลปวัฒนธรรมแห่งเซี่ยงไฮ้ และผู้อำนวยการสถาบันวิจัยศิลปะแห่งนครเซี่ยงไฮ้ จึงเดินสายนำ “ชุดกี่เพ้า” ไปจัดแสดงตามเมืองใหญ่ๆทั่วทุกมุมโลก ล่าสุด ถึงคิวของประเทศไทย ที่จะได้ตื่นตาตื่นใจกับความงดงามของ “ชุดกี่เพ้าโบราณ” ซึ่งเก็บรักษาไว้อย่างดีมาหลายชั่วอายุคน ผ่านร้อนผ่านหนาวผ่านประวัติศาสตร์หน้าสำคัญๆ ของแดนมังกรยุคแล้วยุคเล่า โดยงานนี้ “คุณหรีด-รพีพรรณ เหลืองอร่ามรัตน์” ลงทุนเชิญปรมาจารย์ด้านกี่เพ้าของสาธารณรัฐประชาชนจีน มาเปิดใจให้สัมภาษณ์กับทีมข่าวสตรีไทยรัฐ เพื่อบอกเล่าความลับที่ซ่อนอยู่บนชุดกี่เพ้า
 
 
 
 
ตำนานของ “ชุดกี่เพ้า” มีจุดเริ่มต้นตั้งแต่ยุคไหน

“ชุดกี่เพ้า” หรือที่ชาวจีนเรียกว่า “ชุดฉีผาว” เป็นเครื่องแต่งกายของหญิงแมนจูในยุคราชวงศ์ชิง
มีจุดเริ่มต้นมาตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 17 ประมาณปี 1636 โดยเมื่อเกือบ 400 ปีที่แล้ว “ชุดกี่เพ้า” ยังเป็นเครื่องแต่งกายชั้นสูงที่จำกัดวงเฉพาะสตรีในราชสำนักจีนเท่านั้น

จากเครื่องแต่งกายในรั้วในวัง “ชุดกี่เพ้า” วิวัฒนาการมาสู่สามัญชนได้อย่างไร

ผลจากการปฏิวัติโค่นล้มราชวงศ์ชิง ภายใต้การนำของ “ดร.ซุนยัตเซ็น” ไม่เพียงจะนำพาประเทศไปสู่การเปลี่ยนแปลงการปกครองครั้งใหญ่ แต่ยังส่งผลถึงวัฒนธรรมการแต่งกายของสตรีจีนด้วย โดยในยุคเรืองอำนาจของ “ดร.ซุนยัตเซ็น” สตรีสามัญชนในระดับชั้นนำของจีน เริ่มนำชุดกี่เพ้ามาสวมใส่เป็นแฟชั่น
นำเทรนด์โดยภริยาของ “ดร.ซุนยัตเซ็น” และเมื่อราชวงศ์ชิงล่มสลาย

ชุดกี่เพ้าลวดลายมังกรและหงส์ก็ไม่ถือเป็นของต้องห้ามเฉพาะในหมู่พระราชวงศ์
ต่อมาในช่วงทศวรรษ 1920 เป็นยุคที่ชุดกี่เพ้าแพร่หลายอย่างมากในเมืองเซี่ยงไฮ้ โดยได้รับอิทธิพลจากสไตล์ทางเหนือของชาวปักกิ่ง ยุคนี้สตรีในแวดวงสังคมชั้นสูงได้พัฒนาชุดกี่เพ้าให้ดูทันสมัยขึ้น โดยปรับปรุงรูปทรงให้แนบสรีระและเน้นทรวดทรงของผู้สวมใส่ จากเดิมที่ตัดเย็บเป็นทรงตรงๆไม่มีส่วนโค้งเว้า มีลักษณะเหมือนเสื้อ แต่ชายเสื้อยาวปกคลุมท่อนขาและแขนเสื้อยาวเท่ากันหมด ก็เริ่มวิวัฒนาการเปลี่ยนเป็นชุดเข้ารูปแขนสั้น และด้านข้างมีตะเข็บผ่าสูงเห็นเรียวขา เพื่อให้ก้าวขาได้สะดวกขึ้น
 
กระทั่งในยุคทศวรรษ 1940 อิทธิพลจากโลกตะวันตกเริ่มแผ่ขยายเข้ามาในเซี่ยงไฮ้ ส่งผลให้ชุดกี่เพ้ายุคนี้ถูกปรับปรุงให้ทันสมัยตามแบบนิยมของฝรั่ง โดยมีการดัดแปลงให้ชายกี่เพ้าสั้นลง และปรับปรุงคอปกไม่ให้ตั้งสูงจนเกินไป ส่วนเนื้อผ้าที่นำมาตัดเย็บก็เป็นผ้าสมัยใหม่ ยุคนี้จะไม่ค่อยนิยมลวดลายและสีสันฉูดฉาดแบบสีแดงหรือสีชมพู แม้แต่แขนเสื้อก็พัฒนาสั้นลงเรื่อยๆไปจนถึงแขนกุด
 
 
 
 
 
“ชุดกี่เพ้า” ถูกกวาดล้างไปด้วยไหม ในยุคปฏิวัติวัฒนธรรมของเหมาเจ๋อตุง

ในยุคหลังสงครามโลกครั้งที่สอง แผ่นดินจีนเต็มไปด้วยความอดอยากยากแค้น ทำให้ “ชุดกี่เพ้า” ไม่เป็นที่นิยมของชาวจีน ยิ่งมาถึงยุคที่ “เหมาเจ๋อตุง” ปฏิวัติทางวัฒนธรรม “ชุดกี่เพ้า” ก็ถูกนำมาเผาทำลายด้วย เพราะถือเป็นเครื่องหมายของอดีต และความไม่เจริญก้าวหน้า

เกียรติยศศักดิ์ศรีของ “ชุดกี่เพ้า” ได้รับการฟื้นฟูกลับคืนมาอีกครั้งเมื่อไหร่น่าจะเป็นยุคทศวรรษ 1980 หลังการเปิดประเทศของจีน มีการรื้อฟื้นนำ “ชุดกี่เพ้า” กลับมาสวมใส่อีกครั้ง พร้อมเลื่อนสถานะขึ้นเป็น “ชุดประจำชาติ” โดยมีนครเซี่ยงไฮ้เป็นศูนย์กลางของชุดกี่เพ้า

อะไรคือแรงบันดาลใจให้หันมาอนุรักษ์ “ชุดกี่เพ้า”


ผมร่ำเรียนจบมาด้านศิลปะโดยตรงจากมหาวิทยาลัยในเซี่ยงไฮ้ ในช่วงที่เพิ่งเปิดประเทศจีนใหม่ๆ ผมเห็นคนในทีวีนำชุดกี่เพ้ามาใส่แบบผิดๆ จึงอยากลุกขึ้นมาทำอะไรสักอย่างเพื่ออนุรักษ์วัฒนธรรมการแต่งกายชุดกี่เพ้า ไม่อยากให้ชุดกี่เพ้าเป็นแค่เสื้อผ้าแฟชั่น

แต่อยากอนุรักษ์ไว้เพื่อให้ชุดกี่เพ้ากลายเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของประเทศชาติ และเป็นเครื่องบันทึกประวัติศาสตร์ในแต่ละยุคของแผ่นดิน เพื่อให้คนรุ่นหลังได้รู้จักกี่เพ้า

การทำงานในยุคแรกๆยากลำบากขนาดไหน

ในช่วง 20 ปีแรก ผมต้องเดินทางไปทั่วโลก เพื่อรวบรวมชุดกี่เพ้าจากชาวจีนโพ้นทะเล ซึ่งอพยพไปตั้งรกรากอยู่ในต่างประเทศ เพราะชุดกี่เพ้าในประเทศจีนถูกเผาทำลายไปเกือบหมดในยุคปฏิวัติทางวัฒนธรรม ที่ไหนมีการเปิดประมูลชุดกี่เพ้า ผมก็ต้องเดินทางไปร่วมประมูลด้วยงบประมาณสนับสนุนจากรัฐบาล กว่าจะได้รับการยอมรับก็ต้องใช้เวลานานหลายปี ผมทุ่มเทวิจัยเกี่ยวกับวิวัฒนาการของเครื่องแต่งกายชาวจีน รวมถึงชุดกี่เพ้า โดยศึกษาตั้งแต่วัสดุที่ใช้ เริ่มจากกระบวนการทอผ้า ชนิดของผ้า ไปจนถึงการปักลวดลาย และเทคนิคต่างๆ
 
 
 
 
 
ในฐานะปรมาจารย์ตัวจริง อะไรคืออุปสรรคใหญ่ในการอนุรักษ์ “ชุดกี่เพ้า”

อุปสรรคใหญ่ที่สุดคือ ภูมิปัญญาการทำชุดกี่เพ้าได้สูญหายไปพร้อมกับการล้มหายตายจากของช่างกี่เพ้า คนจีนสมัยก่อนมักไม่ค่อยถ่ายทอดเคล็ดวิชาให้ลูกหลาน แต่จะเก็บเป็นความลับไว้กับตัว ทำให้งานฝีมือชั้นสูงสูญหายไปกับกาลเวลา จนถึงขณะนี้ มีช่างทำกี่เพ้าระดับยอดฝีมือเหลือเพียง 10 คนเท่านั้นในเซี่ยงไฮ้ แต่ละคนก็อายุมากแล้ว จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องอนุรักษ์ฝีมือเอาไว้ โดยรัฐบาลจีนให้เงินสนับสนุนการอนุรักษ์ชุดกี่เพ้าเพื่อรักษาเป็นมรดกของชาติปีละหลายล้านหยวน และในปีหน้าจะมีการเปิดพิพิธภัณฑ์กี่เพ้าอย่างเป็นทางการในเซี่ยงไฮ้ด้วย

เสน่ห์ของ “ชุดกี่เพ้า” อยู่ตรงไหน


“ชุดกี่เพ้า” แต่ละตัวก็มีเอกลักษณ์เฉพาะแตกต่างกันไป และเป็นชุดที่ทำให้ผู้หญิงสวยงามที่สุด การทำกี่เพ้าถือเป็นศิลปะชั้นสูง ที่ต้องอาศัยประสบการณ์และความชำนาญ การตัดเสื้อปกติวัดตัวแค่ 3 จุด แต่สำหรับ “ชุดกี่เพ้า” ต้องวัดตัวอย่างละเอียดถึง 36 จุด เพื่อให้รับกับสรีระทุกส่วนของผู้สวมใส่ และแต่ละชุดต้องใช้เวลาตัดเย็บหลายเดือนไปจนถึงเป็นปีๆ
 
 
 
ยุคปัจจุบัน คนจีนนิยมสวมใส่ชุดกี่เพ้ามากน้อยแค่ไหน

คนจีนยุคปัจจุบันจะสวมใส่ชุดกี่เพ้าในโอกาสสำคัญๆของชีวิต รวมถึงในงานแต่งงาน แต่ไม่มีใครใส่ชุดกี่เพ้าเดินตามท้องถนนในชีวิตประจำวัน เพราะนิยมเสื้อยืดกางเกงยีนส์แบบชาวตะวันตกมากกว่า โดยชุดกี่เพ้าที่ได้รับความนิยมในงานมงคลต่างๆก็ยังคงเป็นชุดกี่เพ้าสีแดงและสีชมพู ส่วนลวดลายต่างๆเปลี่ยนไปตามสมัยนิยม
 
 
 
ลวดลายของ “ชุดกี่เพ้า” สื่อความหมายแตกต่างกันอย่างไร มีลวดลายต้องห้ามไหม

สมัยราชวงศ์ชิง ถ้าใครใส่กี่เพ้าลวดลายมังกรและหงส์ โดยที่ไม่ใช่เชื้อพระวงศ์ ต้องโดนตัดหัว!! แต่ทุกวันนี้ ลวดลายมังกรและหงส์เป็นที่นิยมอย่างมากในงานมงคล เช่นเดียวกับลวดลายดอกบัวและดอกโบตั๋น ซึ่งงดงามอ่อนช้อย และมีความหมายมงคล เพียงแต่มีขนบต้องห้ามอยู่บ้าง เช่น “ห่าน” เป็นสัตว์อัปมงคลตามความเชื่อของชาวจีน จึงไม่นิยมนำมาปักบนชุดกี่เพ้า หรืออย่างลวดลายมังกรจะต้องปักไว้ข้างขวาของชุดกี่เพ้า ขณะที่ลายหงส์ปักไว้ข้างซ้าย เพราะชาวจีนเชื่อว่า ข้างขวาใหญ่กว่าข้างซ้าย ที่สำคัญก็คือ

 

มังกรจะต้องอยู่สูงกว่าหงส์ ถ้าหงส์อยู่เหนือมังกรเมื่อไหร่ มีปัญหา!!

ทุ่มเทอนุรักษ์ “ชุดกี่เพ้า” มาหลายทศวรรษ อะไรคือยาชูใจทำให้ไม่เหนื่อยไม่ท้อ

สิ่งที่ผมทำอยู่เป็นงานที่มีความหมาย ถ้าไปทำอาชีพอื่น หรือแม้แต่เป็นศิลปินวาดรูป ก็อาจร่ำรวยมีเงินทองมากกว่านี้ แต่การอุทิศชีวิตให้ “ชุดกี่เพ้า” ทำให้ชีวิตมีคุณค่าและมีจุดมุ่งหมาย ปีนี้ผมอายุ 57 ปีแล้ว สิ่งที่ใฝ่ฝันสูงสุดก็คือ อยากให้คนจีนทุกคนภาคภูมิใจและรักในชุดกี่เพ้า และอยากให้นานาชาติยอมรับชุดกี่เพ้า ในฐานะที่เป็นมรดกทางวัฒนธรรมสำคัญของโลก.

 


ทีมข่าวหน้าสตรี โดย ไทยรัฐออนไลน์ 23 ธ.ค. 2555 05:45

 

 

*******************************************

 

ไม่สงวนสิทธิ์ ท่านสามารถนำข้อเขียน เนื้อหา ไปใช้ประโยชน์ได้โดยไม่ต้องแจ้งแต่ประการใด

 

 

www.hongqipaoshop.com

 

     เงื่อนไขในการสั่งซื้อ

 

          สินค้าทุกชุด ทางร้านจะวัดขนาดจากของจริง

และตรวจสอบสินค้าก่อนส่งให้ลูกค้า ทุกครั้ง

 

ดังนั้น รบกวนลูกค้า วัดไซด์ตัวเองให้ถูกต้อง 

เพราะสินค้าซื้อแล้วไม่รับเปลี่ยน หรือคืน ไม่ว่ากรณีใดๆ ทั้งสิ้น

 

      วิธีสั่งซื้อสินค้า

 

                              1.สั่งซื้อผ่านหน้าเวปไซด์ 

                  2.Email: familysetbyhong@icloud.com

                  3.Line ID: 0873009294

 

***กรุณารอการยืนยัน จากทางร้านก่อนโอนเงิน***

 

เนื่องจากมาตรการควบคุมภายในและคุ้มครองผู้บริโภค จึงขอความกรุณาโปรดติดต่อทาง Email เพราะเป็นการพิมพ์ ผู้ซื้อสามารถเก็บบันทึกเป็นหลักฐาน ซึ่งมีผลทางกฎหมาย หากเป็นกรณีเร่งด่วน สามารถติดต่อทาง  Line ID: 0873009294

 

 

    วิธีการชำระเงิน

 

        ชำระ โดยการโอนเงินผ่านธนาคาร

ชื่อบัญชี  รุจิรา  คุโณปการพันธ์

 

 

                        ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ธนาคารกรุงเทพ                                          ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ธนาคารกสิกรไทย

                      390-435019-0                         017-8-59731-0

            สาขาประตูช้างเผือก                  สาขาพรอมเมนาดา เชียงใหม่

   

                

    ราคาสินค้ามิได้รวมค่าขนส่ง  ค่าขนส่งจะคำนวณได้หลังทราบรายการสินค้า ที่จะสั่งซื้อ

    จัดส่งโดย  ไปรษณีย์ไทย

 

          เมื่อผู้จะซื้อ ได้รับทราบรายการ ราคาสินค้า และค่าขนส่งแล้ว โปรดยืนยันการสั่งซื้อ คือ ระบุ รหัสสินค้าของแต่ละรายการ ยอดรวมจำนวนเงิน พร้อมแจ้ง ชื่อ ที่อยู่ ของผู้รับสินค้าปลายทาง และ การได้โอนเงิน อีกครั้ง เพื่อทางเราจะไดัดำเนินการจัดส่งให้ทันที

 

 

            ทั้งนี้ เพื่อความมั่นใจ ผู้ซื้อควรบันทึกภาพสินค้าพร้อมฉลากรายละเอียดของสินค้าชิ้นนั้นๆ ที่ได้สั่งซื้อ เพื่อเก็บไว้ตรวจสอบกับสินค้าที่ได้รับ 

 

 **ภาพสินค้าอาจจะมีสีผิดเพี้ยนอันเนื่องมาจากจอภาพของชนิดผลิตภัณฑ์และการตั้งค่าแสดงภาพ**

นโยบายการประกอบธุรกิจ


          www.hongqipaoshop.com ประกอบธุรกิจบนพื้นฐานของความสุจริต เป็นธรรม ตามกฏและระเบียบของทางการที่ได้จดทะเบียนไว้อย่างเคร่งครัด ไม่มีการนำรูปภาพสินค้าของผู้อื่นมาแสดง ไม่มีการแอบอ้างใดๆ รูปภาพสินค้าทุกภาพที่ปรากฏในเว็บไซต์นี้ คือสินค้าอยู่ในมือพร้อมขาย มีคุณสมบัติและรายละเอียดตามคำบรรยายบนฉลากกำกับสินค้า ราคาสินค้าเป็นตัวบ่งบอกคุณภาพและคุณสมบัติของสินค้า  หากมีการ แก้ไขเปลี่ยนแปลง ปรับปรุงรายการ เพิ่มเติมสินค้าตัวใหม่ประการใดก็ตาม จะแสดงและระบุวันที่ปรับปรุงหลังสุด ที่หัวด้านบนของHome-Page 

 

 

         อนึ่ง www.hongqipaoshop.com เป็นระบบติดต่อทางเดียว ผู้ชมหรือลูกค้าเป็นเพียงผู้รับรู้ทางเดียว หากจะติดต่อต้องใช้ช่องทางสื่อสาร e-mail หรือ line 

          www.hongqipaoshop.com ไม่มีระบบรับสมาชิก และไม่ใช้บริการบัตรเครดิต การซื้อขายจบเป็นรายๆ ไม่มีการบันทึกจัดเก็บข้อมูลใดๆ ของผู้ซื้อ จึงขอแถลงและรับรอง ณ ที่นี้ ว่า ไม่มีการนำข้อมูลใดๆ ของผู้ซื้อไปใช้ อ้างอิง โฆษณา หรือนำไปเผยแพร่เพื่อประโยชน์ต่อการประกอบธุรกิจแต่ประการใด 

 

 

 

 

 

หมวดหมู่สินค้า

ทะเบียนพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์

MEMBER

ข้อมูลเว็บไซต์

หน้าที่เข้าชม928,509 ครั้ง
ผู้ชมทั้งหมด378,148 ครั้ง
เปิดร้าน21 พ.ย. 2558
ร้านค้าอัพเดท25 ก.ย. 2568

ตรวจสอบพัสดุ

ค้นหารหัสพัสดุ

  • ค้นหา
*ใส่ เบอร์มือถือ หรือ email ที่ใช้ในการสั่งซื้อ
รายการสั่งซื้อของฉัน
เข้าสู่ระบบด้วย
เข้าสู่ระบบ
สมัครสมาชิก

ยังไม่มีบัญชีเทพ สร้างบัญชีใหม่ ไม่มีค่าใช้จ่าย
สมัครสมาชิก (ฟรี)
รายการสั่งซื้อของฉัน
ข้อมูลร้านค้านี้
ร้านHong Qipao Shop
Hong Qipao Shop
จำหน่ายชุดจีนประกวด ชุดจีนแต่งงาน ชุดกี่เพ้าสั้น ชุดกี่เพ้ายาว เสื้อจีนผู้ชาย ชุดกี่เพ้าเด็ก กระเป๋าสไตล์จีน และ เครื่องประดับ Email :: familysetbyhong@icloud.com LINE :: 0873009294
เบอร์โทร : 0873009294
อีเมล : familysetbyhong@icloud.com
ส่งข้อความติดต่อร้าน
เกี่ยวกับร้านค้านี้
สินค้าที่ดูล่าสุด
ดูสินค้าทั้งหมดในร้าน
สินค้าที่ดูล่าสุด
บันทึกเป็นร้านโปรด
Join เป็นสมาชิกร้าน
แชร์หน้านี้
แชร์หน้านี้

TOP เลื่อนขึ้นบนสุด
พูดคุย-สอบถาม