ยินดีต้อนรับสู่ HONG QIPAO SHOP
www.hongqipaoshop.com
LINE; 0873009294
เบอร์โทร 0873009294

เนื่องจากชนกลุ่มน้อยเผ่า ๆ ต่างในประเทศจีนมีอยู่ถึง 42 เปอร์เซนต์ ของประชากรจีนทั้งหมด ซึ่งเมืองที่มีชนกลุ่มน้อยอาศัยอยู่เยอะที่สุดคือเมือง หวินหนาน จึงจำเป็นที่จะต้องแยกประเภทวัฒนธรรมการแต่งกายของชาวจีนออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มวัฒนธรรมการแต่งกายแต่ละยุคสมัยของชาวจีนและกลุ่มการแต่งกายของชนกลุ่มน้อยต่าง ๆ ในประเทศจีน ซึ่งมีอยู่ถึง 50 กว่า ชนเผ่า ชนกลุ่มน้อยเหล่านี้มักจะมีการแต่งกายที่มีลักษณะเอกลักษณ์และมักจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย ในฉบับนี้ผู้เขียนจะขอกล่าวถึงวัฒนธรรมการแต่งกายแต่ละยุคสมัยของชาวจีนโดยสังเขป
รูปแบบเสื้อผ้าส่วนใหญ่ เช่น เสื้อกั๊กยาว ยังคงลอกเลียนมาจากสมัยถังและซ่ง นางในสมัยหมิงนิยมสวมใส่เสื้อผ้าที่ดูน่าเลื่อมใส สวมเสื้อก๊กเป็นชุดนอก แขนเสื้อแลดูเข้ารูป กระโปรงจีบข้างในสวมกางเกงขายาว ในสมัยหมิงหญิงสาวเริ่มนิยมพันเท้าให้เล็กหรือเรียกกันว่า “เท้ากลีบดอกบัว”
ประวัติกี่เพ้า
กำเนิด กี่เพ้า นั้น เริ่มมาตั้งแต่สมัยที่แมนจูปกครองประเทศจีน ในสมัยราชวงศ์ชิง คนแมนจูกลายเป็นชนชั้นสูงในสังคม ผู้หญิงแมนจูมักจะใส่ชุดเดรสชิ้นเดียว ซึ่งแต่เดิม เป็นชุดที่ใช้ในชีวิตประจำวันของชาวแมนจูทั้งชายและหญิง คล้ายกับ กี่เพ้า ใช้ผ้าคล้ายๆกัน แต่เรียกว่า ChangPao
เจ้าหญิงในราชวงศ์ชิงตอนปลาย (ปลายศตวรรษที่ 19)
credit : http://poeticoneirism.blogspot.com
แม้แต่ผู้หญิงในตระกูลขุนนาง และราชวงศ์ในสมัยราชวงศ์ชิง ก็ใส่ชุด กี่เพ้า นอกจากนั้นแล้ว ตั้งแต่ยุคต้นๆราชวงศ์ชิง (ประมาณปี 1645) ก็ยังมีการออกกฏให้ชาวฮั่นทุกคนใส่ชุด กี่เพ้า รวมไปถึงการตัดผมทรงแมนจู ซึ่งผู้ที่ไม่ปฏิบัติตาม จะมีโทษประหาร
ตำนานเกี่ยวกับกี่เพ้า
มีตำนานเกี่ยวกับ กี่เพ้า เล่าไว้ว่า มีหญิงสาวชาวประมงคนหนึ่ง อาศัยอยู่บริเวณทะเลสาป จิงโป นอกจากจะเป็นคนสวยแล้ว ยังเป็นหญิงสาวที่มีความฉลาดและเก่งมากอีกด้วย แต่ทุกครั้งที่เธอออกหาปลา เธอมักรู้สึกขัดใจกับชุดที่ยาวและลุ่มล่ามของเธอ เธอจึงคิดว่า น่าจะออกแบบชุดเดรสที่เหมาะกับการหาปลาของเธอมากกว่านี้ เธอจึงออกแบบให้มีลักษณะคล้ายเสื้อคลุมยาว ติดกระดุมเป็นแถวที่สามารถเปิดที่ด้านหน้าได้ นั่นทำให้งานของเธอง่ายขึ้นเยอะ
ขณะเดียวกัน จักรพรรดิหนุ่มของจีนในเวลานั้น เกิดนิมิตฝันขึ้นในคืนหนึ่ง ในฝัน พระบิดาของจักรพรรดิที่ได้สวรรคตไปแล้ว มาบอกว่า หญิงสาวชาวประมงแถวทะเลสาป จิงโบ ใส่ชุด กี่เพ้า จะได้กลายมาเป็นพระราชินี. หลังจากที่จักรพรรดิทรงตื่นขึ้น จึงส่งคนไปตามหาหญิงสาวชาวประมงคนนั้น และก็ได้พบตัวหญิงสาวผู้นั้น ในที่สุด หญิงสาวชาวประมงกับชุด กี่เพ้าของเธอ ก็กลายเป็นที่นิยมของชาวแมนจูไปด้วย
รูปทรงดั้งเดิมของ กี่เพ้า จะเป็นทรงกว้าง หลวมๆ คลุมรูปร่างเกือบทั้งตัวของผู้หญิง จะเหลือก็เพียง หัว , มือ , เท้า เท่านั้น ซึ่งในเวลาต่อมา ยุคปี 1920 ในเซี่ยงไฮ้ กี่เพ้า ถูกพัฒนาขึ้นใหม่ เนื่องจากคนในยุคนั้น ต้องการอะไรที่แฟชั่น ทันสมัย ซึ่ง กี่เพ้า กลายเป็นแฟชั่นที่โดนใจ
กี่เพ้า ถูกปรับปรุงให้รัดรูป สั้นขึ้น โชว์ทรวดทรง แตกต่างจาก กี่เพ้า ดั้งเดิมมาก กลุ่มคนที่มีอิทธิพลต่อ กี่เพ้า ในยุคนั้นก็จะเป็นชนชั้นสูง,บุคคลที่มีชื่อเสียง เดิมที กี่เพ้า ในยุคนั้นถูกเรียกว่า Zansae หรือแปลว่า เดรสยาว ในภาษาอังกฤษ เรียกว่า Cheongsam นั่นเอง
Yao Lee นักร้องหญิงชื่อดังจากเซี่ยงไฮ้ ช่วงปี 1930-1940
credit : http://superheidiz.blogspot.com
ปี 1930 กี่เพ้า ได้รับความนิยมไปทั่วประเทศจีน ซึ่งมีลักษณะที่หลากหลายมากขึ้น มีทั้งแบบสั้น แบบยาว มีปกและไม่มีปก และก็ยังถูกพัฒนาต่อไปอีก ตามแฟชั่นของโลกตะวันตก เช่น ทำปกสูง และ เป็นเดรสแขนกุด หรือ แขนเป็นทรงกระดิ่ง
ปี 1940 กี่เพ้า ถูกผลิตด้วยผ้าหลากหลายชนิดมากขึ้นเพื่อให้เหมาะสมกับสถานการณ์ต่างๆ ในฤดูร้อน กี่เพ้า ถูกดัดแปลงโดยการตัดแขนออกเพื่อความสบาย ซึ่งในยุคนี้ กี่เพ้า จะไม่ค่อยมีการตกแต่งอะไรมากนัก
ปี 1949 เมื่อถึงยุคคอมมิวนิสต์ แฟชั่นทั้งหลายก็ถูกลดบทบาทลง แต่ชาวเซี่ยงไฮ้ส่วนหนึ่ง ก็ได้อพยพไปอยู่ฮ่องกง และก็ได้นำเอาแฟชั่นต่างๆไปด้วย ทำให้แฟชั่นแบบเซี่ยงไฮ้นี้ ยังคงอยู่ต่อไป
ปี 1950 ผู้หญิงที่ทำงานใช้แรงงานในฮ่องกง มักใส่ชุด กี่เพ้า ที่ดัดแปลงให้เหมาะกับการทำงาน ผลิตจากผ้าขนสัตว์ ทอเป็นลาย Twill (ลายซี่โครงที่คู่ขนานกัน) และเริ่มถูกผสมผสานกับเสื้อผ้าที่ใส่สบายมากขึ้น เช่น เริ่มใส่คู่กับ เสื้อ กางเกงยีนส์ หรือชุดสูท กระโปรงต่างๆ
กี่เพ้า เริ่มถูกใช้เป็นชุดที่ดูทางการขึ้น หรือดาราหลายๆคนก็ใส่สำหรับงานแสดง โดยเฉพาะในไต้หวัน และ ฮ่องกง เช่น
- ในปี 1960 Nancy Kwan ดาราสาวชาวฮ่องกง ใส่ชุดกี่เพ้าในหนังเรื่อง The World of Suzie Wong หนังที่โด่งดังทั้งในอังกฤษและอเมริกา นำแสดงคู่กับพระเอก William Holden แสดงให้เห็นถึงความชื่นชอบ กี่เพ้า ของโลกตะวันตก
William Holden และ Nancy Kwan จากหนังเรื่อง The World od Suzie Wong ปี 1961
credit : http://iwontloveyoulongtime.blogspot.com
จางม่านอี้ และ เหลียงเฉาเหว่ย ในหนัง In The Mood For Love (ปี 2000)
หนังรักโรแมนติกย้อนยุค ในบรรยากาศของฮ่องกงปี 1960
credit : http://justunderthesurface.wordpress.com
ในปัจจุบัน กี่เพ้า ยังคงเป็นแฟชั่นที่แสดงถึงวัฒนธรรมของหญิงชาวจีน บางสายการบิน ก็ใช้เป็นยูนิฟอร์มด้วย เช่น China Airlines เป็นต้น หรือแม้แต่โรงเรียนประถม มัธยม ในฮ่องกง ก็ใช้เป็นยูนิฟอร์มเช่นกัน
กี่เพ้า ยังเป็นแรงบันดาลใจให้กับดีไซน์เนอร์ทั่วโลก ด้วยความคลาสสิค ที่ดึงเอาเสน่ห์ของหญิงสาวเอเชียออกมาได้อย่างงดงาม ทั้งแบรนด์อย่าง CD , Versace และ Ralph Lauren ก็ผสมผสานเอา กี่เพ้า มาใช้ในคอลเลคชั่นด้วยกันทั้งนั้น มนต์เสน่ห์ของ กี่เพ้า จึงยังคงอยู่ในโลกของแฟชั่นไปอีกแสนนาน ตรุษจีนปีนี้ อย่าลืมหา กี่เพ้าน่ารักๆ มาใส่กันนะคะ จะได้เข้ากับบรรยากาศ :)
ชีวิตคนเมืองจีน / ใครจะคิดว่าชุดประจำชาติของสาวจีนหรือ‘กี่เพ้า’ ซึ่งถือกำเนิดขึ้นเมื่อเกือบ 400 ปีที่แล้ว จะกลับมาได้รับความนิยมอีกครั้ง ด้วยเอกลักษณ์ของกี่เพ้าที่เรียบแต่สง่า หวานแต่ไม่เลี่ยน ประกอบกับความคิดสร้างสรรค์ของชาวจีนที่รู้จักดัดแปลงให้กี่เพ้าเข้ากับยุคสมัยและความนิยม ทำให้กี่เพ้าไม่เคย‘ล้าสมัย’ และยังครองใจสาวๆได้จนถึงทุกวันนี้
ชุดแดง : กี่เพ้าสมัยใหม่สไตล์ประยุกต์ / ชุดเขียว : ‘เจ้าหย่าจือ’ ในชุดสมัยราชวงค์หมิง จากผลงาน
ละครชุดล่าสุด ‘ชิงฮวา(ลายคราม)’ ที่กำลังถ่ายทำอยู่
กี่เพ้าหรือฉีเผา(旗袍) ตามสำเนียงจีนกลางนี้ มีต้นกำเนิดในสมัยราชวงศ์ชิง (ค.ศ.1644-1911) ซึ่งปกครองแบบ 8 แว่นแคว้น(ปาฉี八旗)โดยชนเผ่าแมนจู ผู้นิยมเสื้อผ้าชุดยาวตลอดลำตัวที่เรียกว่า‘เผา(袍)’ จึงเป็นที่มาของ ‘ฉีเผา’นั่นเอง โดยได้รับความนิยมสูงสุดในรัชสมัยคังซีและหยงเจิ้ง (ค.ศ.1662-1736) ยุครุ่งเรืองแห่งราชวงศ์ชิง
หลังปีค.ศ.1840 วัฒนธรรมตะวันตกได้ค่อยๆ จู่โจมเข้าสู่แดนมังกรพร้อมกับยุคล่าอาณานิคม เมืองชายฝั่งทะเล โดยเฉพาะเมืองสำคัญอย่างเซี่ยงไฮ้ ซึ่งมีชาวตะวันตกเข้าอยู่อาศัยปะปนกับชาวจีน จึงได้รับอิทธิพลตะวันตกก่อนพื้นที่อื่นๆ ของประเทศ ไม่เว้นแม้แต่แฟชั่นการแต่งกายแบบฝรั่งที่ค่อยๆ แทรกซึม และนำไปสู่การเปลี่ยนแปลง
วิวัฒนาการชุดกี่เพ้า
รูปแบบของชุดกี่เพ้าที่เราเห็นกันในปัจจุบัน จึงมีวิวัฒนาการจากชุดสตรีชาวแมนจู ที่ถูกสตรีชาวฮั่นนำไปประยุกต์ดัดแปลง ผสมผสานการดูดซับเอาวัฒนธรรมเครื่องแต่งกายที่เน้นส่วนโค้งเว้าเข้ารูปแบบตะวันตก โดยจะมีลักษณะของแขน ปก ชาย การผ่าข้าง และความสั้นยาวเปลี่ยนไปตามความนิยมในแต่ละยุคสมัย
(ภาพจากซ้าย-ขวา)
# ชุดกี่เพ้าต้นแบบเดิมในสมัยราชวงศ์ชิงนั้น จะค่อนข้างหลวม ยาวถึงเท้า มักมีปักเลื่อม และกุ้นขอบตลอดชุด
# พอถึงปลายราชวงศ์ชิง เข้าสู่ยุคสาธารณรัฐ(ตั้งแต่ปีค.ศ.1911) ชุดกี่เพ้าจะผสมแบบชาวฮั่น ที่แยกกระโปรงกับเสื้อเป็นสองชิ้น ช่วงแขนจะสั้นลงและกว้างขึ้น
# ก่อนสงครามปราบขุนศึกภาคเหนือ(ค.ศ.1926-1927) ชุดกี่เพ้ากลับมายาวอีกครั้ง แต่เป็นแบบแขนกุด ที่ต้องใส่เสื้อแขนทรงระฆังไว้ข้างในอีกที
# ค.ศ.1926 เสื้อแขนทรงระฆังสั้นถูกเย็บติดกับกี่เพ้าชุดยาวเป็นชิ้นเดียวกัน ซึ่งถือเป็น
แบบฉบับของชุดกี่เพ้าในปัจจุบัน
(ภาพจากซ้าย-ขวา)
# อารยธรรมตะวันตกที่หลั่งไหลเข้าสู่จีน ทำให้แฟชั่นทันสมัยในปีค.ศ.1927 ถูกผู้คนขนานนามว่าเป็น ‘ชุดแห่งอารยธรรมใหม่(เหวินหมิงซินจวง)’ คือเสื้อท่อนบนเข้ารูปกับกระโปรงบานยาวถึงข้อเท้า
# หลังปีค.ศ.1927 ความยาวของกระโปรงเริ่มสั้นลง ส่วนปลายแขนเสื้อก็นิยมอัดกลีบบานคล้ายผีเสื้อ
# ค.ศ.1930 ด้วยอิทธิพลกระโปรงสั้นแบบยุโรป ส่งผลให้กี่เพ้าสั้นขึ้นอยู่เหนือหัวเข่า 1 นิ้ว และช่วงแขนหดสั้น จนชุดมีลักษณะกระชับเข้ารูปมากขึ้น ซึ่งช่วงนั้น เรียกกี่เพ้าแบบใหม่นี้ว่า ‘ชุดนักเรียน(เสี่ยว์เซิงฝู)’ เนื่องจากเริ่มใช้อย่างแพร่หลายในหมู่นักเรียนก่อน
# หมวยจีนนิยมใส่กี่เพ้าสั้นได้เพียงปีเดียว ค.ศ.1931 ชุดกี่เพ้ากลับมายาวอีกครั้ง แต่เพิ่มความเร้าใจด้วยการผ่าข้างที่ไม่สูงนัก ส่วนแขนก็ยาวขึ้นถึงข้อศอก กระดุมคอเพิ่มเป็น 2 เม็ด และนิยมกุ้นขอบชุดด้วย
(ภาพจากซ้าย-ขวา)
# นับวันการแต่งกายที่เน้นสรีระแบบตะวันตกก็เข้ามามีอิทธิพลต่อเสื้อผ้าชาวจีนมากขึ้น ค.ศ.1933-1934 แฟชั่นผ่าข้างชุดกี่เพ้าสูงขึ้นเรื่อยๆ ถึงระดับน่อง และรัดรูปเข้าเอวมากขึ้น
# ในปีถัดมา ค.ศ.1935 สาวจีนนิยมกี่เพ้าที่ยาวคลุมเท้ามิดชิด ซึ่งถูกเรียกว่า ‘กี่เพ้ารุ่นกวาดพื้น(เส่าตี้ฉีเผา)’ แต่กลับผ่าข้างต่ำลงมาอยู่ใต้หัวเข่า
# วิวัฒนาการของชุดกี่เพ้าฉีกแนวโบราณอีกครั้งในปีค.ศ.1937 จากเดิมที่เป็นแบบกระดุมเปิดอกข้างขาวอย่างเดียว ก็เริ่มมีแบบกระดุมเปิดอกทั้งซ้ายขวา และส่วนแขนสั้นขึ้น คือจะยาวจากช่วงไหล่ลงมาเพียง 2 นิ้ว
# ค.ศ.1938 ชุดกี่เพ้าในเซี่ยงไฮ้เริ่มนิยมคอปกที่สูงขึ้น ชายกระโปรงยาวคลุมถึงพื้น เน้นรัดรูป และแขนกุด ซึ่งช่วยเพิ่มความเซ็กซี่ให้กับชุดกี่เพ้า
# (ซ้าย) ช่วงสงครามต่อต้านญี่ปุ่น ความยาวของกี่เพ้าขยับสูงขึ้นอีกครั้งเพื่อความทะมัดทะแมง มีผ่าข้างเล็กน้อย คอปกสูงติดกระดุม 3 เม็ด และแขนสั้น
# (ขวา) ยุคทศวรรษ 40 ที่ผ่านมา กี่เพ้ามักจะมีขอบลวดลายสวยงามทั้งส่วนคอ แขน และชายกระโปรง
ตั้งแต่ทศวรรษที่ 50 จนถึงยุคปฏิวัติวัฒนธรรม(ค.ศ.1966-1976) ชุดกี่เพ้าถูกตีตราว่าเป็น
ส่วนหนึ่งของค่านิยมคร่ำครึทั้ง 4 (แนวคิด วัฒนธรรม ประเพณี และวิถีชีวิตแบบเก่า) ที่สมควรถูก
ขจัดให้สิ้นแผ่นดิน
จีน เมื่อผ่านพ้นยุคแห่งความขัดแย้งภายใน เข้าสู่ยุคเปิดประเทศ สังคมจีนเริ่มเปิดกว้างรับแนวคิดใหม่ๆ เสื้อผ้าที่เคยถูกบังคับให้ใช้ได้ไม่เกิน 3 สี คือ ดำ เทา และน้ำเงิน ก็ได้รับการปลดปล่อยให้มีอิสรเสรีทางสีสัน บรรดาสาวจีนจึงเริ่มสลัดชุดฟอร์มสมัยปฏิวัติ แล้วหยิบกี่เพ้าที่ถูกแช่เย็นไว้ราว 30 ปี มาปัดฝุ่นและแปลงโฉม แต่เนื่องจากปิดประเทศไปนาน ทำให้ชุดกี่เพ้าในช่วงทศวรรษที่ 80 ดูค่อนข้างจะเชยไปนิด
# ชุดกี่เพ้ายุคหลังปฏิวัติวัฒนธรรมมักจะตัดเย็บออกมาคล้ายรูปขวด โดยส่วนเอวจะคล้ายคอขวด สะโพกค่อนข้างหลวม แขนกุด ถือเป็นดีไซน์ ‘โบราณ’ ผสม ‘โมเดิร์น’ และมักใช้ผ้าที่มีลวดลายมาตัดเย็บ
‘จางมั่นอี้ว์’ และ ‘เหลียงเฉาเหว่ย’ ถ่ายทอดอารมณ์ความรักแบบลับๆ ในหนังเรื่อง
‘ฮวายั่งเหนียนหัว花样年华’ (In the mood for love)
กระทั่งปลายปีค.ศ.2000 ‘ฮวายั่งเหนียนหัว花样年华’(In the mood for love) ภาพยนตร์เรื่องเยี่ยมของผู้กำกับหว่องการ์ไว(หวังเจียเว่ย) ออกฉายทั่วประเทศ ปลุกกระแสแฟชั่นชุดกี่เพ้าให้ตื่นขึ้นในแดนมังกรอีกครั้ง เพราะเรื่องนี้ได้ออกแบบให้นางเอก จางมั่นอี้ว์ สวมชุดกี่เพ้าสุดคลาสสิกให้ผู้ชมได้ยลโฉมอย่างจุใจถึง 23 ชุด
ช่วง 10 กว่าปีมานี้ ชุดกี่เพ้าถูกออกแบบให้ทันสมัย มีรูปลักษณ์ใหม่ๆ ให้เห็นตามเวทีแคทวอล์กอยู่เสมอ ตลอดจนจัดเป็นเครื่องแต่งกายพิธีการของชาติจีนที่ปรากฏในเวทีระดับโลก
ศาสตร์แห่งศิลป์ของชุดกี่เพ้ายังมีความต่างกันระหว่างสไตล์นครเซี่ยงไฮ้กับกรุงปักกิ่ง โดยกี่เพ้าของเซี่ยงไฮ้จะได้รับอิทธิพลเสื้อผ้าแบบตะวันตกมากกว่า มีรูปแบบที่หลากหลาย ดูทันสมัยและคล่องแคล่ว ส่วนสไตล์ปักกิ่งนั้น จะดูเป็นทางการ และสุภาพเรียบร้อย
ทุกวันนี้ชาวจีนส่วนใหญ่ยอมรับกันว่า ช่างตัดเย็บชุดกี่เพ้าฝีมือเยี่ยมนั้นอยู่ที่เซี่ยงไฮ้ ขณะที่มีหลายเสียงลงความเห็นว่า หุ่นเนื้อนมไข่แบบสาวฝรั่ง ใส่ชุดกี่เพ้ายังไงก็ไม่มีเสน่ห์เท่าสาวจีนและสาวเอเชีย!
เรียบเรียงจาก Shanghai Online และ เฉียนหลงเน็ต
วง
เสื้อคอจีนมีชื่อเรียกในภาษาจีนว่า "ถังจวง" ที่จริงแล้วชื่อเรียกนี้เป็นชื่อที่เริ่มเรียกโดยชาวต่างชาติ เนื่องจากราชวงศ์ถังของจีนเป็นยุคสมัยที่เจริญรุ่งเรืองจนมีชื่อเสียงขจรไปไกลถึงต่างแดน ดังนั้นในสมัยต่อๆ มาชาวต่างชาติจึงเรียกคนจีนว่า "ถังเหริน" หรือคนถัง ย่านที่พักอาศัยของชาวจีนหรือไชน่าทาวน์ในประเทศสหรัฐอเมริกา ประเทศอาเซียนและในยุโรปก็เรียกว่า "ถังเหรินเจีย" หรือถนนของคนถัง และชาวจีนโพ้นทะเลเองก็เรียกตัวเองว่า "ถังเหริน" เช่นกัน ที่เรียกกันเช่นนี้ก็เป็นเพราะราชวงศ์ถังเป็นราชวงศ์ที่ชาวจีนภาคภูมิใจมาตั้งแต่สมัยโบราณนั่นเอง ต่อมาจึงมีการเรียกเสื้อผ้าแบบโบราณของจีนที่คนถังในย่านถังเหรินเจียสวมใส่ว่า "ถังจวง" หรือชุดถัง ซึ่งที่จริงแล้วถังจวงไม่ใช่ชุดในสมัยราชวงศ์ถังแต่อย่างใด แต่เป็นชุดของสมัยราชวงศ์ชิงตอนปลาย
ถังจวงหรือเสื้อคอจีนดัดแปลงมาจากเสื้อนอกของชายในสมัยปลายราชวงศ์ชิง แบบเสื้อถังจวงมีลักษณะเด่น 4 ประการคือ
1. คอเสื้อตั้ง โดยเปิดคอเสื้อด้านหน้าตรงกลางไว้
2. แขนเสื้อและตัวเสื้อเป็นผ้าชิ้นเดียวกัน จึงไม่มีรอยตะเข็บต่อระหว่างแขนเสื้อและตัว เสื้อ
3. สาบเสื้อเป็นแนวตรงหรือแนวเฉียง
4.กระดุมเสื้อเป็นกระดุมแบบจีนซึ่งประกอบด้วยเม็ดกระดุมที่ใช้ผ้าถักเป็นปมและห่วงรังดุม
นอกจากนี้ยังมีลักษณะเฉพาะอื่นๆ เช่น ผ้าที่ใช้ส่วนใหญ่เป็นผ้าแพรปักลายหรือผ้าต่วน สีเสื้อมีให้เลือกหลากหลาย โดยมากจะมีสีแดงสด สีแดงคล้ำ สีแดงน้ำตาล สีน้ำเงินไพลินและสีกาแฟเป็นหลัก นอกจากนี้ยังมีสีเหลืองสว่าง สีเหลืองทอง สีเขียวมรกต สีดำและสีทองด้วย
![]() |
![]() |
ฉีผาว (ชุดกี่เพ้า)
ฉีผาวหรือกี่เพ้าเป็นชุดที่ดัดแปลงมาจากชุดของหญิงชาวแปดกองธงในสมัยราชวงศ์ชิง กี่เพ้าเป็นเครื่องแต่งกายที่เกิดจากการหลอมรวมเป็นหนึ่งของชนชาติต่างๆ ของจีนและถือเป็นมรดกทางวัฒนธรรมการแต่งกายของชาวจีน กี่เพ้าเป็นงานตัดเย็บที่รวมเอาศิลปะหลายแขนงไว้ด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นหัตถกรรมการปักลวดลาย ภาพดอกไม้และนกหรือภาพอื่นๆ ซึ่งล้วนสะท้อนให้เห็นถึงเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมของจีน
หากดูตามความหมายของตัวอักษรจีน ฉีผาวหรือกี่เพ้านั้นโดยมากมักหมายถึงชุดเสื้อคลุมยาว เมื่อผ่านวิวัฒนาการมาหลายยุคหลายสมัยจนมาถึงสมัยราชวงศ์ชิง จึงได้มีการตีความหมายจากตัวอักษรคำว่าฉีผาวว่าหมายถึงชุดเสื้อคลุมยาวที่ชาวกองธงทั้งชายและหญิงสวมใส่ ("ฉี" แปลว่า ธง "ผาว" แปลว่า ชุดเสื้อคลุมยาว) แต่ชุดกี่เพ้าในยุคต่อมานั้นพัฒนามาจากชุดเสื้อคลุมยาวที่หญิงชาวแปดกองธงสวมใส่ ต่อมาหญิงชาวฮั่นได้แต่งตัวเลียนแบบหญิงชาวแมนจู ในทางกลับกันหญิงชาวแมนจูและหญิงชาวมองโกลก็แต่งตัวเลียนแบบหญิงชาวฮั่นเช่นกัน การเลียนแบบกันไปมาทำให้เกิดการผสมผสานระหว่างการแต่งกายของหญิงชาวแมนจูและหญิงชาวฮั่น การแต่งกายของหญิงสองชนชาติจึงคล้ายคลึงกันมากขึ้นตามลำดับ จากนั้นจึงค่อยๆ พัฒนาเป็นกลายชุดกี่เพ้ายุคแรกที่เป็นที่นิยมทั่วประเทศจีน ต่อมาเมื่อเครื่องแต่งกายแบบตะวันตกแพร่หลายเข้ามาในประเทศจีน ก็ได้มีการดัดแปลงชุดกี่เพ้าให้เข้ากับลักษณะเด่นของชุดแบบตะวันตกกลายเป็นชุดกี่เพ้าแบบใหม่ที่เรียบง่ายและแพร่หลายสู่คนทั่วไปมากขึ้น
ชุดกี่เพ้าในปัจจุบัน เป็นชุดที่ออกแบบไปตามแฟชั่นมากขึ้น แต่สีของชุดกี่เพ้าก็ยังคงเป็นสีแบบชุดกี่เพ้าโบราณ เช่น ชุดกี่เพ้าที่ใช้สีแดงสด สีเขียวสดและสีฟ้าสดตัดกับสีแดงและสีดำ นอกจากนี้ยังมีการนำผ้าหลายชนิดมาใช้ในการตัดเย็บและมีรูปแบบหลากหลายให้เลือก ไม่ว่าจะเป็นชุดกี่เพ้าสั้น ชุดกี่เพ้ายาว หรือชุดกี่เพ้าที่ออกแบบตามฤดูกาลทั้งสี่ ได้แก่ ฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน ฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาว
กี่เพ้า ในภาษาจีนเรียกว่า "ฉีผาว" (旗袍) เป็นเครื่องแต่งกายสำหรับสตรีชาวจีน มีลักษณะเหมือนเสื้อ มีชายเสื้อยาวปกคลุมท่อนขา ขนาดพอดีตัว ด้านข้างมีตะเข็บผ่าเพื่อให้ก้าวขาได้สะดวก รูปแบบของฉีผาวในปัจจุบัน ได้รับการปรับปรุงในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1920 ในเมืองเซี่ยงไฮ้ ให้มีรูปทรงแนบกับสรีระ เพื่อเน้นทรวดทรงของผู้สวมใส่ เป็นแฟชั่นที่นิยมในสังคมคนชั้นสูงของจีนในช่วงปลายราชวงศ์ชิง จนถึงช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง มีการดัดแปลงให้ชายฉีผาวสั้นลง ปรับปรุงแบบคอปก และเนื้อผ้าแบบต่างๆ
ฉีผาว เป็นเครื่องแต่งกายของหญิงแมนจูในยุคราชวงศ์ชิงในคริสต์ศตวรรษที่ 17 มาจากคำว่า ฉี (旗, ธง) และ ผาว (袍, เสื้อ) ในปี ค.ศ. 1636 ผู้ปกครองจีนในขณะนั้นได้ออกกฎหมายบังคับให้ทุกคน รวมทั้งชาวฮั่นให้แต่งกายและตัดผมแบบแมนจู ในภาษาอังกฤษเรียกเครื่องแต่งกายแบบนี้ว่า Cheongsam มาจากเสียงอ่าน chèuhngsàam ในสำเนียงกวางตุ้ง ของศัพท์เซี่ยงไฮ้คำว่า zǎnze (長衫, 'long shirt/dress') และเรียกเครื่องแต่งกายในลักษณะเดียวกัน สำหรับเพศชายว่า Changshan (長衫; Chángshān)
ซาน จี้ฟาง เขียนบทความถึงกี่เพ้าในนิตยสารข่าวเป่ยจิงรีวิว ว่า ในทศวรรษ 1980-1990 ชุดกี่เพ้าปรากฏโฉมใหม่ที่ใส่กันเฉพาะในหมู่สาวๆ ที่เป็นพนักงานต้อนรับตามโรงแรมและภัตตาคาร ชุดกี่เพ้าแบบนี้ตัดเย็บลวกๆ เน้นแต่สีสันฉูดฉาดและกระโปรงสั้นเกินไป ทำลายภาพเดิมของกี่เพ้าไปโดยปริยาย เจ้า จินหลี่ สาวพนักงานบริษัทโฆษณา กล่าวว่า ในตู้เสื้อผ้าของตน ไม่มีชุดกี่เพ้าแม้แต่ตัวเดียว ตนไม่อยากใส่ เพราะกลัวคนคิดว่าทำงานเป็นสาวต้อนรับหน้าร้านอาหาร หรือแม้แต่โชว์เกิร์ล อย่างไรก็ตาม หวัง จินเฉียว เจ้าของและผู้ก่อตั้งบริษัท เป่ยจิง เก๋อเก๋อ ฉีเพ้า ผู้นำการผลิตชุดกี่เพ้าในจีน กล่าวว่า คนรุ่นใหม่มิควรลืมหรือเมินชุดกี่เพ้า เพราะชุดนี้แสดงถึงบางสิ่งที่ถ่ายทอดจากอดีตและเข้ากับปัจจุบันได้เป็นอย่างดี "ชุดของจีนเป็นความต่อเนื่องทางวัฒนธรรมประเพณีที่ผสมผสานกับชีวิตยุคใหม่ได้ เราควรจะใส่ชุดกี่เพ้าในงานต่างๆ รวมถึงปรับให้ใส่สบายในชีวิตประจำวันได้" จิน ไท่จุน กล่าวเสริม
กี่เพ้า ที่เราเรียกกันติดปากนี้ อ่านออกเสียงในภาษาจีนกลางว่า qípáo (ฉีผาว) หรือ "Cheongsam" ออกเสียงสำเนียงกวางตุ้ง เป็นเดรสชิ้นเดียว สำหรับผู้หญิง ส่วนใหญ่ผลิตจากผ้าไหม ลักษณะของ กี่เพ้า จะรัดตรงทั้งตัว ตั้งแต่ส่วนบนถึงส่วนล่าง หรือ อาจจะบานลงส่วนปลายเล็กน้อย คล้ายๆรูปตัว A และผ่าด้านข้าง เพื่อความสะดวก นอกจาก กี่เพ้า สำหรับผู้หญิงแล้ว ยังมี Changshan ซึ่งใช้สำหรับผู้ชายอีกด้วย
กี่เพ้า เป็นเดรสที่ใส่ในลักษณะค่อนข้างรัดรูป พอดีตัว ยาวคลุมถึงท่อนขา ผ่าด้านข้าง มีบทบาทอย่างมากใน เซี่ยงไฮ้ ยุคปี 1920 ถือว่าเป็นแฟชั่นสำหรับสังคมชั้นสูง ช่วงปลายราชวงศ์ชิง
ชุดกี่เพ้าเป็นชุดการแต่งกายของหญิงสาวชาวจีน ที่ในช่วงใกล้เทศกาลตรุษจีนจะเห็นสาวๆ ในบ้านเรานิยมนำมาสวมใส่ให้เข้ากับบรรยากาศ ชุดกี่เพ้าในปัจจุบันมีการออกแบบกันมากมายหลายรูปแบบ ดังนั้นแล้วไม่ว่าคุณจะเป็นสาวในสไตล์ไหนก็สามารถเลือกชุดกี่เพ้าที่เหมาะสำหรับคุณกันได้
ที่มา : manager.co.th
ชุดกี่เพ้าเป็นชุดแต่งกายประจำชาติของหญิงสาวชาวจีน เป็นลักษณะของตัวเสื้อยาวมีขนาดพอดีตัว ผ่าด้านข้างเพื่อให้เดินได้สะดวก แต่ในปัจจุบันนี้มีการออกแบบชุดกี่เพ้าออกมาหลากหลายรูปแบบ และมีหลายสีสันให้เราสามารถเลือกสวมใส่ได้
แฟชั่นชุดกี่เพ้าสวยๆ สำหรับสาวหมวยต้อนรับตรุษจีน
แต่สาวหมวยที่มีผิวขาวส่วนใหญ่จะนิยมสวมใส่ชุดกี่เพ้าสีแดงสด ที่ดูแล้วช่วยทำให้ขับผิวขาวๆ ให้ดูขาวยิ่งขึ้นไปอีก ที่สำคัญในช่วงเทศกาลตรุษจีนในบ้านเราชุดกี่เพ้าจะเป็นชุดที่สาวๆ นิยมนำมาสวมใส่กันเป็นอย่างมากเพื่อให้เข้ากับบรรยากาศ โดยเฉพาะในย่านที่มีคนจีนอาศัยอยู่ค่อนข้างเยอะอย่างแถวย่านเยาวราช ในช่วงเทศกาลตรุษจีนก็รับรองกันได้เลยว่าเราจะเห็นสาวๆ สวมใส่ชุดกี่เพ้าออกมาอวดโฉมกันอย่างมากมาย ในช่วงเทศกาลตรุษจีนถ้าสาวๆ ไปเดินในย่านนั้นแล้วไม่ได้สวมชุดกี่เพ้าอาจจะดูไม่เข้ากับบรรยากาศกันได้เลย ในปัจจุบันชุดกี่เพ้ามีการออกแบบมาให้เหมาะกับสาวๆ ในทุกสไตล์ไม่ใช่เฉพาะสาวหมวยเท่านั้นที่จะใส่ออกมาได้ดูสวย
แฟชั่นชุดกี่เพ้าสวยๆ สำหรับสาวหมวยต้อนรับตรุษจีน
แต่สาวๆ ในสไตล์อื่นอยากลองหยิบชุดกี่เพ้ามาสวมใส่ก็สามารถเลือกรูปแบบและสีสันให้เข้ากับสไตล์ของคุณ เพียงเท่านี้ก็รับรองได้เลยว่าสาวๆ ก็สามารถสวมชุดกี่เพ้าได้สวยไม่แพ้สาวหมวยกันได้แล้วค่ะ อย่างเช่นสาวหวาน ถ้าคุณไม่อยากใส่ชุดกี่เพ้าสีแดงสด คุณก็อาจจะเลือกเป็นชุดสีอื่นเช่น สีชมพู สีฟ้า หรือสาวๆ อาจจะเลือกแบบที่เป็นเสื้อคอจีนและเป็นกระโปรงทรงย้วย ซึ่งแบบนี้ขอเรียกเป็นชุดกี่เพ้าประยุกต์นะคะ ก็เป็นแบบที่เหมาะสำหรับสาวๆ ที่ชอบแต่งตัวสไตล์หวานๆ เป็นอย่างมาก แต่สำหรับสาวเปรี้ยวชุดกี่เพ้าทรงเข้ารูปผ่าด้านข้างแขนกุดสีแดงสดเป็นอะไรที่เหมาะมากสำหรับสาวเปรี้ยวที่สำคัญยังแอบเซ็กซี่กันอีกด้วย หรือสไตล์สาวเท่ๆ คุณอาจสวมชุดกี่เพ้ากับกางเกงสกินนี่ก็ดูเข้ากันเข้ากันเป็นอย่างมาก
ทั้งหมดนี้ก็สามารถบ่งบอกกันได้แล้วว่าชุดกี่เพ้าเหมาะกับสาวๆ ในทุกสไตล์ที่สามารถนำมาประยุกต์สวมใส่หรือจับคู่ใส่กับเสื้อผ้ากางเกงหรือกระโปรงในรูปแบบที่คุณชอบ และยิ่งในปัจจุบันชุดกี่เพ้ายังมีออกมาให้เลือกกันหลายสีสัน ดังนั้นสาวๆ ที่ไม่ได้มีผิวขาวแบบสาวหมวยก็ยังสามารถเลือกสีชุดกี่เพ้าให้เหมาะกับสีผิวของคุณกันได้ไม่ยาก ถ้าสาวๆ คนไหนอยากลองสวมใส่ชุดกี่เพ้าออกไปเดินอวดโฉมอย่างสาวหมวยอย่าลืมมองหาชุดกี่เพ้าที่มีรูปแบบและสีสันเหมาะกับตัวเองแล้วไปเดินอวดโฉมกันบ้างนะคะ
เกาชุนหมิง" สุดยอดปรมาจารย์ชุดกี่เพ้า ผู้สืบสานมรดกวัฒนธรรมอันยิ่งใหญ่ของแดนมังกร
และเพื่อเผยแพร่มรดกทางศิลปวัฒนธรรมของชาวมังกรให้ระบือไกล “ปรมาจารย์เกาชุนหมิง” ผู้อำนวยการศูนย์มรดกทางศิลปวัฒนธรรมแห่งเซี่ยงไฮ้ และผู้อำนวยการสถาบันวิจัยศิลปะแห่งนครเซี่ยงไฮ้ จึงเดินสายนำ “ชุดกี่เพ้า” ไปจัดแสดงตามเมืองใหญ่ๆทั่วทุกมุมโลก ล่าสุด ถึงคิวของประเทศไทย ที่จะได้ตื่นตาตื่นใจกับความงดงามของ “ชุดกี่เพ้าโบราณ” ซึ่งเก็บรักษาไว้อย่างดีมาหลายชั่วอายุคน ผ่านร้อนผ่านหนาวผ่านประวัติศาสตร์หน้าสำคัญๆ ของแดนมังกรยุคแล้วยุคเล่า โดยงานนี้ “คุณหรีด-รพีพรรณ เหลืองอร่ามรัตน์” ลงทุนเชิญปรมาจารย์ด้านกี่เพ้าของสาธารณรัฐประชาชนจีน มาเปิดใจให้สัมภาษณ์กับทีมข่าวสตรีไทยรัฐ เพื่อบอกเล่าความลับที่ซ่อนอยู่บนชุดกี่เพ้า


“ชุดกี่เพ้า” หรือที่ชาวจีนเรียกว่า “ชุดฉีผาว” เป็นเครื่องแต่งกายของหญิงแมนจูในยุคราชวงศ์ชิง
จากเครื่องแต่งกายในรั้วในวัง “ชุดกี่เพ้า” วิวัฒนาการมาสู่สามัญชนได้อย่างไร
ผลจากการปฏิวัติโค่นล้มราชวงศ์ชิง ภายใต้การนำของ “ดร.ซุนยัตเซ็น” ไม่เพียงจะนำพาประเทศไปสู่การเปลี่ยนแปลงการปกครองครั้งใหญ่ แต่ยังส่งผลถึงวัฒนธรรมการแต่งกายของสตรีจีนด้วย โดยในยุคเรืองอำนาจของ “ดร.ซุนยัตเซ็น” สตรีสามัญชนในระดับชั้นนำของจีน เริ่มนำชุดกี่เพ้ามาสวมใส่เป็นแฟชั่น
ชุดกี่เพ้าลวดลายมังกรและหงส์ก็ไม่ถือเป็นของต้องห้ามเฉพาะในหมู่พระราชวงศ์


ในยุคหลังสงครามโลกครั้งที่สอง แผ่นดินจีนเต็มไปด้วยความอดอยากยากแค้น ทำให้ “ชุดกี่เพ้า” ไม่เป็นที่นิยมของชาวจีน ยิ่งมาถึงยุคที่ “เหมาเจ๋อตุง” ปฏิวัติทางวัฒนธรรม “ชุดกี่เพ้า” ก็ถูกนำมาเผาทำลายด้วย เพราะถือเป็นเครื่องหมายของอดีต และความไม่เจริญก้าวหน้า
เกียรติยศศักดิ์ศรีของ “ชุดกี่เพ้า” ได้รับการฟื้นฟูกลับคืนมาอีกครั้งเมื่อไหร่น่าจะเป็นยุคทศวรรษ 1980 หลังการเปิดประเทศของจีน มีการรื้อฟื้นนำ “ชุดกี่เพ้า” กลับมาสวมใส่อีกครั้ง พร้อมเลื่อนสถานะขึ้นเป็น “ชุดประจำชาติ” โดยมีนครเซี่ยงไฮ้เป็นศูนย์กลางของชุดกี่เพ้า
อะไรคือแรงบันดาลใจให้หันมาอนุรักษ์ “ชุดกี่เพ้า”
ผมร่ำเรียนจบมาด้านศิลปะโดยตรงจากมหาวิทยาลัยในเซี่ยงไฮ้ ในช่วงที่เพิ่งเปิดประเทศจีนใหม่ๆ ผมเห็นคนในทีวีนำชุดกี่เพ้ามาใส่แบบผิดๆ จึงอยากลุกขึ้นมาทำอะไรสักอย่างเพื่ออนุรักษ์วัฒนธรรมการแต่งกายชุดกี่เพ้า ไม่อยากให้ชุดกี่เพ้าเป็นแค่เสื้อผ้าแฟชั่น
แต่อยากอนุรักษ์ไว้เพื่อให้ชุดกี่เพ้ากลายเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของประเทศชาติ และเป็นเครื่องบันทึกประวัติศาสตร์ในแต่ละยุคของแผ่นดิน เพื่อให้คนรุ่นหลังได้รู้จักกี่เพ้า
การทำงานในยุคแรกๆยากลำบากขนาดไหน
ในช่วง 20 ปีแรก ผมต้องเดินทางไปทั่วโลก เพื่อรวบรวมชุดกี่เพ้าจากชาวจีนโพ้นทะเล ซึ่งอพยพไปตั้งรกรากอยู่ในต่างประเทศ เพราะชุดกี่เพ้าในประเทศจีนถูกเผาทำลายไปเกือบหมดในยุคปฏิวัติทางวัฒนธรรม ที่ไหนมีการเปิดประมูลชุดกี่เพ้า ผมก็ต้องเดินทางไปร่วมประมูลด้วยงบประมาณสนับสนุนจากรัฐบาล กว่าจะได้รับการยอมรับก็ต้องใช้เวลานานหลายปี ผมทุ่มเทวิจัยเกี่ยวกับวิวัฒนาการของเครื่องแต่งกายชาวจีน รวมถึงชุดกี่เพ้า โดยศึกษาตั้งแต่วัสดุที่ใช้ เริ่มจากกระบวนการทอผ้า ชนิดของผ้า ไปจนถึงการปักลวดลาย และเทคนิคต่างๆ


อุปสรรคใหญ่ที่สุดคือ ภูมิปัญญาการทำชุดกี่เพ้าได้สูญหายไปพร้อมกับการล้มหายตายจากของช่างกี่เพ้า คนจีนสมัยก่อนมักไม่ค่อยถ่ายทอดเคล็ดวิชาให้ลูกหลาน แต่จะเก็บเป็นความลับไว้กับตัว ทำให้งานฝีมือชั้นสูงสูญหายไปกับกาลเวลา จนถึงขณะนี้ มีช่างทำกี่เพ้าระดับยอดฝีมือเหลือเพียง 10 คนเท่านั้นในเซี่ยงไฮ้ แต่ละคนก็อายุมากแล้ว จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องอนุรักษ์ฝีมือเอาไว้ โดยรัฐบาลจีนให้เงินสนับสนุนการอนุรักษ์ชุดกี่เพ้าเพื่อรักษาเป็นมรดกของชาติปีละหลายล้านหยวน และในปีหน้าจะมีการเปิดพิพิธภัณฑ์กี่เพ้าอย่างเป็นทางการในเซี่ยงไฮ้ด้วย
เสน่ห์ของ “ชุดกี่เพ้า” อยู่ตรงไหน
“ชุดกี่เพ้า” แต่ละตัวก็มีเอกลักษณ์เฉพาะแตกต่างกันไป และเป็นชุดที่ทำให้ผู้หญิงสวยงามที่สุด การทำกี่เพ้าถือเป็นศิลปะชั้นสูง ที่ต้องอาศัยประสบการณ์และความชำนาญ การตัดเสื้อปกติวัดตัวแค่ 3 จุด แต่สำหรับ “ชุดกี่เพ้า” ต้องวัดตัวอย่างละเอียดถึง 36 จุด เพื่อให้รับกับสรีระทุกส่วนของผู้สวมใส่ และแต่ละชุดต้องใช้เวลาตัดเย็บหลายเดือนไปจนถึงเป็นปีๆ

คนจีนยุคปัจจุบันจะสวมใส่ชุดกี่เพ้าในโอกาสสำคัญๆของชีวิต รวมถึงในงานแต่งงาน แต่ไม่มีใครใส่ชุดกี่เพ้าเดินตามท้องถนนในชีวิตประจำวัน เพราะนิยมเสื้อยืดกางเกงยีนส์แบบชาวตะวันตกมากกว่า โดยชุดกี่เพ้าที่ได้รับความนิยมในงานมงคลต่างๆก็ยังคงเป็นชุดกี่เพ้าสีแดงและสีชมพู ส่วนลวดลายต่างๆเปลี่ยนไปตามสมัยนิยม

สมัยราชวงศ์ชิง ถ้าใครใส่กี่เพ้าลวดลายมังกรและหงส์ โดยที่ไม่ใช่เชื้อพระวงศ์ ต้องโดนตัดหัว!! แต่ทุกวันนี้ ลวดลายมังกรและหงส์เป็นที่นิยมอย่างมากในงานมงคล เช่นเดียวกับลวดลายดอกบัวและดอกโบตั๋น ซึ่งงดงามอ่อนช้อย และมีความหมายมงคล เพียงแต่มีขนบต้องห้ามอยู่บ้าง เช่น “ห่าน” เป็นสัตว์อัปมงคลตามความเชื่อของชาวจีน จึงไม่นิยมนำมาปักบนชุดกี่เพ้า หรืออย่างลวดลายมังกรจะต้องปักไว้ข้างขวาของชุดกี่เพ้า ขณะที่ลายหงส์ปักไว้ข้างซ้าย เพราะชาวจีนเชื่อว่า ข้างขวาใหญ่กว่าข้างซ้าย ที่สำคัญก็คือ
ทุ่มเทอนุรักษ์ “ชุดกี่เพ้า” มาหลายทศวรรษ อะไรคือยาชูใจทำให้ไม่เหนื่อยไม่ท้อ
สิ่งที่ผมทำอยู่เป็นงานที่มีความหมาย ถ้าไปทำอาชีพอื่น หรือแม้แต่เป็นศิลปินวาดรูป ก็อาจร่ำรวยมีเงินทองมากกว่านี้ แต่การอุทิศชีวิตให้ “ชุดกี่เพ้า” ทำให้ชีวิตมีคุณค่าและมีจุดมุ่งหมาย ปีนี้ผมอายุ 57 ปีแล้ว สิ่งที่ใฝ่ฝันสูงสุดก็คือ อยากให้คนจีนทุกคนภาคภูมิใจและรักในชุดกี่เพ้า และอยากให้นานาชาติยอมรับชุดกี่เพ้า ในฐานะที่เป็นมรดกทางวัฒนธรรมสำคัญของโลก.
ทีมข่าวหน้าสตรี โดย ไทยรัฐออนไลน์ 23 ธ.ค. 2555 05:45
*******************************************
ไม่สงวนสิทธิ์ ท่านสามารถนำข้อเขียน เนื้อหา ไปใช้ประโยชน์ได้โดยไม่ต้องแจ้งแต่ประการใด