ปี1368─ปี1644
ในปี 1368 ชาวจีนได้สถาปนาราชวงศ์หมิงขึ้น และเพื่อที่จะฟื้นฟูสังคมจีนให้รุ่งเรืองอีกครั้ง รัฐบาลหมิงจึงเลือกใช้ขนบธรรมเนียมและเครื่องแต่งกายสำหรับราชสำนักแบบโจวและฮั่น และระบบการปกครองประเทศแบบถังและซ่ง ทั้งให้ความสำคัญกับการแก้ไขฟื้นฟูจารีตประเพณีเดิม และฟื้นฟูระบบการแต่งกายที่สืบทอดกันมาของชนชาติฮั่นขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง ภายใต้การเมืองการปกครอง เศรษฐกิจ การพัฒนาทางเทคนิคและวัฒนธรรมนั้น ทำให้เครื่องแต่งกายในยุคสมัยหมิงมีความสง่าและงดงาม ผ่าเผย กลายมาเป็นรูปแบบของศิลปะการแต่งกายของจีนยุคใกล้นี้
戴凤冠的明代贵妃(明人《朱夫人像》)
ฉลองพระองค์
ฉลองพระองค์ของพระจักรพรรดิที่สวมใส่ประจำวันคือชุดมังกร ด้านบนปักเป็นลายมังกร ลายนกกระเรียนและสิบสองลายมงคล ซึ่งปกติแล้วถักทอมาจากด้ายสีเหลือง เสื้อลายมังกรจะสวมคู่กับพระสุวรรณมงกุฎ (หมวกทองคำ) ชุดพระราชพิธีของพระจักรพรรดิก็ยังคงเป็นเสื้อผ้าและกระโปรงตามแบบโบราณราชประเพณี ประกอบด้วยชุดพิธีการ(สีดำ) กระโปรงสีแดงเข้ม เข็มขัดสีขาว แถบผ้าเหลืองที่ใช้แขวนที่เอว เสื้อชั้นใน และฉลองพระบาทสีแดง ชุดพิธีการ(เสื้อคลุมสีดำ)ปักลาย สุริยัน จันทราและมังกรที่หัวไหล่ ด้านหลังเป็นกลุ่มดาว ภูเขา แขนเสื้อเป็นลายเปลวไฟ ลายไก่ฟ้า ลายจอกบูชา บริเวณคอเสื้อ ปลายแขนเสื้อและสาบเสื้อ เป็นสีพื้น ที่กระโปรงแดงมีกอสาหร่าย เมล็ดข้าว รูปคันธนูสองคัน และรูปขวาน
金冠(北京定陵出土实物) |
|
戴乌纱折上巾、穿盘领、窄袖、绣龙袍的皇帝(南薰殿旧藏《历代帝王像》)
|
|
中单(参考《中东宫冠服》绘制) |
蔽膝(参考《中东宫冠服》绘制) |
龙袍十二章纹包括:日、月、星辰、山、龙、华虫、宗彝、藻、火、粉米、黼、黻。十二章纹发展历经数千年,每一章纹饰都有取义,日、月、星辰代表三光照耀,象征着帝王皇恩浩荡,普照四方。山,代表着稳重性格,象征帝王能治理四方水土。
龙,是一种神兽,变化多端,象征帝王们善于审时度势地处理国家大事和 华虫,通常为一只雉鸡,象征王者要“文采昭著”。 宗彝,是古代祭祀的一种器物,通常是一对,绣虎纹和譐纹,象征帝王 藻,则象征皇帝的品行冰清玉洁。 火,象征帝王处理政务光明磊落,火炎向上也有率士群黎向归上命之意。 粉米,就是白米,象征着皇帝给养着人民,安邦治国,重视农桑。 黼,为斧头形状,象征皇帝做事干练果敢。 黻,为两个己字相背,代表着帝王能明辨是非,知错就改的美德。 |
|
ขออนูญาตินำบทความของคุณกฤชวรรธน์ โล่ห์วัชรินทร์ ที่อธิบายเรื่องสัญลักษณื 12 ประการไว้มาให้อ่านเพิ่มเติมกันครับ© 2009-2010 กฤชวรรธน์ โล่ห์วัชรินทร์ สงวนลิขสิทธิ์สำหรับวัตถุประสงค์ทางการค้า http://www.wiraja.com/?p=340สัญลักษณ์12 ประการที่ปรากฏในเสื้อคุลมมังกรประกอบไปด้วยดวงอาทิตย์ดวงจันทร์กลุ่มดาวภูเขามังกรไก่ฟ้า จอกบูชาสาหร่ายเมล็ดข้าวเปลวไฟขวานและอักษรฝูฉลองพระองค์ของจักรพรรดิในแต่ละราชวงศ์จะปรากฏสัญลักษณ์เหล่านี้เสมอแต่ในลักษณะและตำแหน่งแตกต่างกันไปไม่มากก็น้อยอีกทั้งความหมายของสัญลักษณ์ก็มักแปรผันไปตามกาลเวลาด้วยเช่นกันดังมีความหมายและรายละเอียดต่อไปนี้สุริยัน (日) เป็นพลังด้านสว่างหรือหยาง (阳) ถือเป็นบ่อเกิดของสรรพชีวิตสัญลักษณ์นี้หมายถึงอาณัติสวรรค์หรือความรู้แจ้งขององค์จักรพรรดิโดยมากลายปักสัญลักษณ์ดวงอาทิตย์มักเป็นวงกลมสีแดงภายในวงกลมปรากฏรูปกาหรือนกสามขา (三足鸟) ตำนานกล่าวว่าเดิมทีมีกาสามขาอยู่สิบตัวโดยทั้งสิบเป็นลูกของเทพีซีเหอ (羲和) มีถิ่นอาศัยอยู่ในดวงอาทิตย์สิบดวงโดยเกาะอยู่บนต้นหม่อนในทะเลตะวันออกมีนิสัยชอบบินลงมากินหญ้าอมฤตบนโลกมนุษย์ในแต่ละวันกาตัวหนึ่งจะทำหน้าที่โคจรรอบโลกเพื่อให้แสงสว่างแก่มวลมนุษย์สลับกันไปเรื่อยๆมีอยู่ครั้งหนึ่งกาทั้งสิบตัวบินลงมายังโลกพร้อมกันสร้างความเดือดร้อนแสนสาหัสแก่มวลมนุษย์เป็นอย่างยิ่งวีรบุรุษโฮ่วยี่ (后羿) จึงเอาธนูยิงกาเก้าตัวหล่นลงจากท้องฟ้าทำให้เหลือกาสามขาตัวเดียวหรือดวงอาทิตย์ดวงเดียวมาจนทุกวันนี้จันทรา (月) เป็นพลังด้านมืดหรือยิน (阴) และเป็นสัญลักษณ์ของสรวงสวรรค์บนฉลองพระองค์ของจักรพรรดิสัญลักษณ์ดวงจันทร์มักปรากฏเป็นรูปวงกลมพื้นสีขาวฟ้าหรือเขียวอ่อนภายในมีกระต่ายตัวหนึ่งกำลังตำยาอายุวัฒนะตำนานกล่าวว่ากระต่ายตัวนี้เป็นสัตว์เลี้ยงของฉางเอ๋อ (嫦娥) เทพีแห่งดวงจันทร์นอกจากกระต่ายแล้วสัญลักษณ์ของดวงจันทร์ยังปรากฏว่าภายในวงกลมเป็นรูปกบด้วยซึ่งกบแทนความหมายของการปัดเป่าโรคภัยและความเจริญรุ่งเรืองกลุ่มดาว (星辰) เป็นสัญลักษณ์ของจักรวาลอันกว้างใหญ่ไพศาลหมายถึงเมตตาธรรมอันไม่มีขอบเขตสิ้นสุดของจักรพรรดิสัญลักษณ์นี้มักปรากฏเป็นวงกลมขนาดเล็กสามวงวางทำมุมเป็นรูปสามเหลี่ยมโดยมีเส้นโยงวงกลมแต่ละวงไว้ด้วยกันดาวทั้งสามดวงนี้คือส่วนด้ามของกลุ่มดาวกระบวยใหญ่ ( Big Dipper หรือ 北斗七星 ) ซึ่งก็คือส่วนหางของกลุ่มดาวหมีใหญ่ (Ursa Major) ในแผนที่ดาวของชาวตะวันตกนั่นเองโดยดาวสามดวงนี้มีความสำคัญในการกำหนดฤดูกาลมาตั้งแต่ยุคหินใหม่ (Neolithic) เมื่อนำมาเป็นสัญลักษณ์โดยทั่วไปจึงหมายถึงความสามารถในการพยากรณ์หรือการหยั่งรู้ฟ้าดินด้วย
ภูเขา (山) เป็นสัญลักษณ์ของโลกหมายถึงความชอบธรรมในการปกครองผืนดินผืนน้ำขององค์จักรพรรดิด้วยความที่ภูเขาตั้งตระหง่านสูงชันยิ่งใหญ่และหนักแน่นสัญลักษณ์นี้จึงยังสื่อถึงการปกครองอันมั่นคงและมีเสถียรภาพทั้งยังเป็นสัญลักษณ์แทนธาตุดินอันเป็นหนึ่งในห้าธาตุสำคัญของจีนด้วย มังกร (龙) เป็นสัตว์ในตำนานที่มีพลังอำนาจและความยิ่งใหญ่ที่สุดในบรรดาสรรพสัตว์ทั้งมวลรูปมังกรที่ปรากฏบนฉลองพระองค์ของจักรพรรดิเป็นมังกรห้าเล็บซึ่งสงวนไว้เฉพาะองค์จักรพรรดิเท่านั้นมีความหมายถึงพระราชอำนาจและฐานันดรศักดิ์นอกจากนั้นมังกรยังเป็นสัตว์ที่อาศัยอยู่ได้ทั้งในน้ำบนบกและบนฟ้าสามารถปรับเปลี่ยนรูปร่างไปตามสภาพแวดล้อมทั้งยังควบคุมฟ้าฝนได้อีกด้วยจึงสื่อถึงพระราชอำนาจที่แผ่ครอบคลุมไปทุกทิศานุทิศความสามารถในการปรับตัวและอิทธิพลต่อชีวิตความเป็นอยู่ของไพร่ฟ้าประราชราษฎร์ตามลำดับ ไก่ฟ้า (华虫) เป็นสัตว์ในตระกูลหงส์ (凤) ที่มีสีสันงดงามแพรวพรายสัญลักษณ์นี้แทนพระปรีชาในทาง จอกบูชา (宗彝) เป็นเครื่องบูชาในพิธีบวงสรวงบรรพบุรุษสัญลักษณ์นี้จึงหมายถึงคุณธรรมของจักรพรรดิในการเคารพเทิดทูนเหล่าบรรพชนลายปักสัญลักษณ์จอกบูชาจะปรากฏเป็น2 จอกจอกหนึ่งเป็นรูปเสือหรือสิงโตหมายถึงความแข็งแรงอีกจอกหนึ่งเป็นรูปลิงหมายถึงความฉลาดว่องไวเมื่อพิจารณาโดยรวมจึงหมายถึงความแกร่งกล้าในการปกป้องอาณาประชาราษฎร์และสติปัญญาในการปกครองบ้านเมืองขององค์จักรพรรดินอกจากนั้นจอกบูชายังเป็นสัญลักษณ์ของธาตุโลหะด้วย สาหร่าย (藻) เป็นพืชน้ำที่สะอาดจึงเป็นสัญลักษณ์หมายถึงความบริสุทธิ์ไร้มลทินไม่มีราคีตีความได้ว่าเป็นสัญลักษณ์แสดงความชอบธรรมขององค์จักรพรรดิในฐานะผู้นำที่ไม่มีผู้ใดอาจก้าวล่วงหรือปฏิเสธได้สาหร่ายยังเป็นสัญลักษณ์ของธาตุน้ำด้วย เมล็ดข้าว (粉米) เป็นสัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์และความมั่งคั่งแสดงให้เห็นว่าจักรพรรดิเป็นหลักยึดของมวลหมู่ประชาชนเหตุเพราะจักรพรรดิมีความสามารถในการสร้างความกินดีอยู่ดีความเจริญรุ่งเรืองและความผาสุกให้เกิดแก่ราษฎรในจักรวรรดิเมล็ดข้าวยังถือเป็นสัญลักษณ์แทนธาตุไม้ด้วย เปลวไฟ (火) หมายถึงอัจฉริยภาพอันสว่างสุกใสขององค์จักรพรรดิในอันที่จะนำพาจักรวรรดิและอาณาประชาราษฎร์ไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองเปลวไฟยังเป็นสัญลักษณ์แทนธาตุไฟด้วย ขวาน (黼) เป็นสัญลักษณ์แทนพระเดชานุภาพความเด็ดขาดและการลงโทษซึ่งล้วนเป็นหลักการสำคัญขององค์จักรพรรดิในการบริหารราชการแผ่นดินในยามขับขันเกิดศึกสงครามเกิดจลาจลหรือเกิดทุพภิกขภัย อักษรฝู (黻) สัญลักษณ์นี้เป็นรูปธนูสองคันหันหลังชนกันโดยคันหนึ่งมักมีสีดำส่วนอีกคันมักมีสีขาวหรือมักใช้สีมืดกับสีสว่างประกอบกันหมายถึงความสามารถในการจำแนกดีชั่วถูกผิดซึ่งก็คือพระราชอำนาจในการตัดสินขององค์จักรพรรดินั่นเอง ดังกล่าวมาข้างต้นจะเห็นว่าสัญลักษณ์12 ประการนั้นแสดงให้เห็นฐานันดรศักดิ์และอำนาจหน้าที่ของจักรพรรดิจีนทุกประการนับตั้งแต่การได้รับอาณัติสวรรค์ให้มีอำนาจเด็ดขาดยิ่งใหญ่และน่าเกรงขามไปจนถึงบุคลิกอันอ่อนโยนและเอาใจใส่ไพร่ฟ้าประชาชนซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นคุณสมบัติอันพึงประสงค์ของนักปกครองที่ดีแทบทั้งสิ้น |
ฉลองพระองค์พระมเหสี
พระมเหสีจะสวมชุดพิธีในโอกาสที่รับพระราชโองการ หรือโอกาสสำคัญๆต่างๆ ชุดพิธีประกอบด้วย มงกุฎหงส์ แถบคล้องคอ (มีหน้าที่คล้ายสายสะพายบ่าในปัจจุบัน) ชุดตี๋ (เสื้อคลุมข้างใน) แถบผ้า(คล้ายผ้ากันเปื้อน) และเสื้อแขนใหญ่สำหรับสวมด้านนอก ด้านบนของมงกุฎหงส์มีมังกรหงส์และพู่ไข่มุก เข็มขัดประดับหยก ถุงน่องสีเขียวเข้มเหลือบทอง ฉลองพระบาท ฉลองระองค์ที่พระมเหสีทรงสวมในเวลาปกติคือเสื้อแขนใหญ่ที่ปักลายมังกรทอง แถบคล้องคอ กระโปรงแดง แถบผ้า(คล้ายผ้ากันเปื้อน)สีแดง และมงกุฎหงส์
![]() ![]() |
穿耳、带耳环的明代皇后 (南薰殿旧藏《历代帝后》) |
มงกุฎหงส์
มงกุฎหงส์ในสมัยราชวงศ์หมิงมีโครงซึ่งทำมาจากตาข่ายที่ถักจากทองคำ เงิน ทองแดง เป็นต้น บุภายในด้ายผ้าใยไหม ประดับพูห้อยและอัญมณี มีรูปร่างพื้นฐาน ๒ แบบ คือ รูปแบบแรก เป็นมงกุฎพิธีสำหรับพระมเหสี พระวรราชเทวี และพระราชเทวีลำดับชั้นต่างๆ ด้านบนประดับหงส์ มังกร และเครื่องประดับอื่นๆที่ทำมาจากขนนกกระเต็น บริเวณปากของมังกร และหงส์มักประดับดอกไม้เพชร ดอกไม้พลอย ห้อยถึงบ่า รูปแบบที่สองมีไว้สำหรับสตรีสูงศักดิ์และเหล่าภริยาขุนนางชั้นต่างๆ ส่วนบนของมงกุฎไม่มีหงส์และมังกร แม้ว่าประดับเพียงขนนกป่าหรือกิ๊บดอกไม้ แต่ก็ถูกเรียกว่ามงกุฏหงส์ด้วยเหมือนกัน
แพรแถบคล้องคอ
แพรแถบคล้องคอเสียเพ่ยเป็นแพรแถบคล้องคอชนิดหนึ่ง เนื่องจากการที่ถูกคนเปรียบเปรยว่างดงามราวกับเมฆสีชมพูบนท้องฟ้า ดังนั้นจึงเรียกสายแถบคล้องคอชนิดนี้ว่า เสียเพ่ย หรือ แพรแถบเมฆชมพู มีปลายสองด้าน พันจากคอลงมา พาดยาวผ่านอก ปลายทั้งสองห้อยเป็นจี้หยกและทอง ลวดลายของแพรแถบนั้นขึ้นอยู่กับตำแหน่งและระดับชั้น ภริยาของขุนนางข้าราชการชั้นหนึ่ง และชั้นสอง ใช้ดิ้นทองปักเป็นลายลายเมฆและไก่ฟ้าบนผ้าสีแดง ระดับสามและระดับสี่ เป็นลายเมฆและนกยูง ระดับห้า ลายเมฆและลายเป็ดแมนดารินเป็นต้น
戴凤冠、穿霞帔的明朝皇后 (南薰殿旧藏) 《历代帝后像》
|
明《中东宫冠服》 所绘大衫凤纹霞帔正面/背面
|
หมวกวูซา
หมวกวูซาหรือหมวกแพรสีนิลนั้น ใช้ผ้าแพรสีนิลประดิษฐ์เป็นหมวกยอดกลม มีลักษณะคล้ายกับหมวกฝู (โพกหัว) ในตอนปลายสมัยถังและสมัยห้าราชวงศ์ แต่หมวกฝูช่วงถังทำจากผ้าที่ย้อมสีเคลือบด้านนอก มีปลายห้อยสองข้างยาวประมาณ ๔๐ เซนติเมตร หมวกที่พระจักรพรรดิสวมในวันทั่วๆไปนั้นมีลักษณะคล้ายกับหมวกวูซาทั่วไป แต่ทว่าปลายทั้งสองข้างจะเป็นลักษณะยกขึ้น และถูกสร้างหลังจากมีการประดิษฐ์หมวกวูซา
乌纱帽 (上海肇家浜路潘允徵墓出土实物) |
เครื่องแต่งกายของข้าราชการพลเรือนและกลาโหม
เครื่องแต่งกายข้าราชการพลเรือนและกลาโหมในสมัยหมิงนี้ เป็นเสื้อคอกลมที่สาบเสื้อพับไปทางขวา แขนกว้าง ๓ ฟุต ในงานพระราชพิธีที่สำคัญๆ ไม่ว่าจะมีตำแหน่งต่ำหรือสูงต่างจะสวมหมวกกวนเหลียง สวมเสื้อผ้าสีชาด โดยจะใช้ จำนวนริ้วบนหมวกและสายริบบิ้นบ่งบอกถึงลำดับขึ้น เครื่องแต่งกายในวันทั่วไปก็จะสวมหมวกวูซาหรือไม่ก็หมวกฝู โดยมีแผ่นภาพสัตว์มงคลที่บอกดำดับขั้นแปะไว้ด้านหลังและด้านหน้าบริเวณหน้าอก ที่เรียกว่า ปู่จึ ข้าราขการฝ่ายบุ๋นใช้สัตว์จำพวกนก ฝ่ายบู๊ใช้สัตว์จตุรบาท เสื้อผ้าของข้าราชการนั้น ทั้งสีสัน เนื้อผ้า รูปแบบ ลวดลายต่างๆนั้น มีความแตกต่างกันไปตามระดับซึ่งเป็นกฎเกณฑ์ที่มีความชัดเจน
戴乌纱幞头、穿织金蟒袍的官吏 (明人《李贞写真像》) |
戴貂蝉笼巾、佩方心曲领、穿朝服的官吏 (明人《范仲淹写真像》) |
戴展角幞头、穿织金蟒袍、系白玉腰带的官吏 (明人《王鏊写真像》)
|
ชุดลายสัตว์มงคล 补 子
ลักษณะเด่นที่สุดของเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายขุนนางข้าราชสำนักหมิงก็คือ ปู่จึ (ลายภาพสัตว์มงคล) ที่เรียกว่าปู่จึ ก็เนื่องมาจาก เป็นภาพปักลายทีปักไว้ด้านหน้าบริเวณอกและด้านหลังเพื่อใช้แสดงและบ่งบอกถึงลำดับชั้นของตำแหน่ง ความยาวของปู่จึคือ ๓๔ เซนติเมตร และกว้าง ๓๖.๕ เซนติเมตร ลายที่ปักก็มี ๒ ประเภทด้วยกัน
ขุนนางบุ๋นระดับ ๑ ปักเป็นนกกระเรียนขุนนางบุ๋นระดับ๒ ปักเป็นไก่ฟ้าสีทองขุนนางบุ๋นระดับ๓ ปักเป็นนกยูง
ขุนนางบุ๋นระดับ๔ ปักเป็นห่านป่า ขุนนางบุ๋นระดับ๕ ปักเป็นไก่ฟ้าสีเงิน ขุนนางบุ๋นระดับ๖ ปักเป็นนกกระยาง ขุนนางบุ๋นระดับ๗ ปักเป็นนกเป็ดน้ำ ขุนนางบุ๋นระดับ๘ ปักเป็นนกขมิ้น ขุนนางบุ๋นระดับ๙ ปักเป็นนกกระทา |
ขุนนางบู้ระดับ ๑ ปักเป็นสิงโตขุนนางบู้ระดับ๒ ปักเป็นสิงโตขุนนางบู้ระดับ๓ ปักเป็นเสือดาว
ขุนนางบู้ระดับ๔ ปักเป็นเสือดาว ขุนนางบู้ระดับ๕ ปักเป็นหมีสีน้ำตาล ขุนนางบู้ระดับ๖ ปักเป็นเสือดำ ขุนนางบู้ระดับ๗ ปักเป็นเสือดำ ขุนนางบู้ระดับ๘ ปักเป็นแรด ขุนนางบู้ระดับ๙ ปักเป็นม้าที่อยู่บนน้ำ |
明万历灯笼景刺绣圆补,私人收藏
|
穿斗牛服的明邢玠夫妇像
|
明早期六品文官鹭鸶纹缂丝方补 |
明中期织锦斗牛纹补,私人收藏 |
明初编绣龙纹方补,私人收藏 |
|
补子
เสื้อคอกลม
เสื้อคอกลมนี้เป็นชุดคลุมคอกลมที่สืบทอดและพัฒนามาจากชุดในสมัยถังและซ่ง รูปแบบเครื่องแต่งกายของขุนนางหมิงส่วนใหญ่เป็นคอกลมกว้าง แหวกข้าง แขนเสื้อกว้างหรือมีขนาดใหญ่ ซึ่งบ้างก็มีตุ้งติ้งห้อยอยู่ข้างลำตัว แต่ราษฎรทั่วไปจะไม่ห้อยตุ้งติ้ง และแขนเสื้อจะแคบ สำหรับผู้สูงอายุที่อายุเกิน ๖๐ ปีขึ้นไปอาจสวมเสื้อแขนกว้างได้ แขนเสื้อยาวนั้นอาจยาวกว่ามือมาอีก ๑๐ เซนติเมตรเลยทีเดียว
穿公服的官吏 (明人《江舜夫像》) |
戴乌纱帽、穿盘领补服的明朝官吏 (明人《沈度写真像》)
|
เครื่องแต่งกายนักวิชาการ นักศึกษา
เสื้อผ้าลักษณะนี้มาจากชุดเปี้ยนเสี้ยนอ่าวจิ้นซื่อของชาวหยวน ในช่วงต้นราชวงศ์หมิงเรียกว่า เย่ซา เป็นฉลองพระองค์สำหรับ พระมหากษัตริย์ที่ใช้ทรงเวลาทรงม้า ภายหลังเหล่าบัณฑิตก็ได้นำมาสวมเป็นชุดในวันปกติทั่วไป แล้วเรียกว่า เสื้อเฉิงจึ จุดเด่นของมันคือมี ปกเสื้อกว้าง สาบเสื้อพับไปทางขวา คอเสื้อเฉียง (คอวี) แขนเสื้อหลวม ปกเสื้อด้านหน้ามีตะเข็บ ด้านล่างเป็นจีบ
ชุดบัณฑิต
บัณฑิตยุคหมิงส่วนใหญ่สวมเสื้อคลุมสีน้ำเงินหรือสีดำ ทุกด้านมีขอบกว้าง และมีบ้างที่สวมเป็นชุดสีอ่อน ส่วนมากมีความยาวถึงเท้า แขนเสื้อค่อนข้างใหญ่และยาวเลยข้อมือไป มักสวมคู่กับหมวกผ้าหรูจินหรือไม่ก็เป็นหมวกแข็งสี่เหลี่ยม แลสุขุมและเยือกเย็น
戴儒巾、穿大袖衫的士人(明人肖像画)
หมวกแข็งสี่เหลี่ยม
หมวกแข็งสี่เหลี่ยมเป็นหมวกที่ทำมาจากผ้าหลัวซาสีดำ และเนื่องจากรูปร่างลักษณะที่มีสี่เหลี่ยม ดังนั้นจึงเรียกว่า หมวกผ้าสี่ทิศ และในสมัยหมิงนี้ได้ยึดหลัก “การเมืองมีเสถียรภาพ” หมวกประเภทนี้เป็นหมวกที่เหล่าขุนนางและบัณฑิตใช้สวมใส่ สามัญชนทั่วไปนั้นน้อยมากที่จะสวมหมวกชนิดนี้ และมักสวมเสื้อที่ย้อมสีคราม
|
戴儒巾或四方平定巾、 穿衫子的士人 (《娄东十老图》局部) |
![]() |
戴儒巾、穿衫子的士人
|
เสื้อกั๊กยาวปี๋เจี่ย
เสื้อกั๊กยาวปี๋เจี่ยนี้ ก็คือเสื้อกั๊กปั้นปี้ในยุคสุยถัง พอมาถึงสมัยหมิง มันก็ถูกปรับปรุงให้กลายเป็นเสื้อกั๊กที่ไม่มีแขนและไม่มีคอเสื้อ สาบเสื้อตรง ยาวถึงเข่า ซึ่งกลายมาเป็นเสื้อนอกที่ใส่ประจำวันของบรรดาสาวรุ่น ภายหลังในสมัยชิงก็หดสั้นลง และถูกเรียกว่า ข่านเจียน เป้ยซิน หรือ หมาเจี่ย
穿比甲的妇女(《燕寝怡情》图册
ชุดเป้ยจึ
ชุดเป้ยจึในสมัยหมิง ส่วนมากมีปกเสื้อรวบและปกเสื้อแบบตรง ยาวและรัดรูป ใต้วงแขนทั้ง ๒ ข้างมีการเย็บให้เกิดริ้วลอนหรือแขนจ้ำ ปลายกระโปรงบานออก สายเสื้อทั้งสองด้านไม่ต้องมีกระดุม บางครั้งใช้เชือกมัด เป็นเสื้อที่หญิงสาวสวมใส่ในชีวิตประจำวัน ในเวลาปกติทั่วไป หญิงสูงศักดิ์มักสวมชุดเป้ยจึปกเสื้อรวบที่มือแขนเสื้อใหญ่ แต่หญิงชาวบ้านจะสวมเป้ยจึปกและสาบเสื้อตรงและแขนเสื้อเล็ก
穿宽袖背子的贵妇 |
穿窄袖背子的贵妇及侍女(唐寅《簪花仕女图》) |
![]() |
![]() |
ชุดผ้าตัดปะลายตารางนาข้าว
คำโบราณจีนกล่าวไว้ว่า “เย็บเสื้อผ้าต้องเรียนรู้ปะผ้าลายตารางนาข้าว” ซึ่งเป็นความแปลกใหม่และความโรแมนติกของเสื้อผ้าแบบตัดปะในหมู่หญิงสาว เสื้อผ้าตัดปะลายตารางนาข้าวพวกนี้ตัดเย็บขึ้นมาจากเศษผ้าหลายๆชิ้น สีสัน ลวดลาย ขนาดของเศษผ้าเหล่านี้แตกต่างกัน รูปร่างก็แตกต่างกันไป ดังนั้นเสื้อผ้าที่ตัดเย็บขึ้นมาจึงมีสีสันที่สดใสและแปลกใหม่ ลักษณะคล้ายนาข้าว มีลักษณะที่โดดเด่นเป็นพิเศษ ซึ่งได้รับความนิยมชมชอบจากบรรดาสาวยุคหมิงเป็นอย่างมาก
![]() |
![]() |
![]() |
กระโปรง
การสวมกระโปรงของหญิงสาวในสมัยหมิงค่อนข้างเป็นที่แพร่หลาย สีสันของกระโปรง ในระยะเริ่มแรก สีที่นิยมคือสีอ่อนเบาๆ และใช้สีขาวพื้นเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งแม้ว่าจะมีลวดลายแต่ก็มิได้ดูโดดเด่นชัดเจนมากนัก และการปักลาย ก็พียงแค่ปักเป็นลูกไม้ที่ชายกระโปรงเท่านั้น ในตอนต้น จีบกระโปรงมีเพียง ๖ จีบ ตามคำกล่าวที่ว่า “ กระโปรงหกจีบลายแม่น้ำเซียง” ภายหลังก็ได้เปลี่ยนมาใช้ ๘ จีบ เอวรัดรูปมีจีบนับสิบจีบ มักเป็นลายน้ำไหล ลวดลายบนกระโปรงนั้นก็ยิ่งให้ความสำคัญมากเช่นกัน กล่าวกันว่า มีกระโปรงสีอ่อนอยู่รูปแบบหนึ่ง เรียกว่า กระโปรงเยว่ฮว๋า (จันทราทรงกลด) ซึ่งมีจีบกระโปรงถึง ๑๐ จีบ จีบที่ส่วนเอวก็มีสีสันที่แตกต่างกันไป มักมีสีอ่อนโยนอันแลหรูหราเป็นอย่างยิ่ง และเนื่องจากยามกระโปรงโบกสะบัดเวลาเดินจะมีสีสันซึ่งคล้ายกับพระจันทร์ที่กำลังทรงกลด จึงได้ชื่อว่า กระโปรงจันทราทรงกลด นอกจากนั้น ยังมีกระโปรงอีกรูปแบบหนึ่งซึ่งตัดเย็บมาจากแถบผ้าซาตินที่มีขนาดไม่เท่ากัน แต่ละแถบผ้าปักเป็นลายบุปผาชาติและปักษา และขลิบด้านข้างด้วยดิ้นทอง เรียกกระโปรงชนิดนี้ กระโปรงหางหงส์ และมีกระโปรงอีกประเภทหนึ่ง ใช้ผ้าซาตินทั้งผืนพับเป็นจีบๆ เรียกว่า กระโปรงร้อยริ้ว
穿襦裙及腰裙的侍女(费晓楼《仕女精品》) |
穿襦裙的乐女 (传世绘画《汉宫秋》局部) |
凤尾裙(传世实物) |
รองเท้าคันศร
สตรีชาวหมิงมิเพียงแต่ปฏิตามบรรพบุรุษในประเพณีรัดเท้าเท่านั้น แต่ทว่ายังให้ความสำคัญมากอีกด้วย รองเท้าที่สวมใส่หลังจากรัดเท้าแล้วเรียกว่า “กงเสย์” หรือ รองเท้าคันศร รองเท้าชนิดนี้เป็นรองเท้าพื้นสูงที่ประดิษฐ์ พื้นรองเท้าจากไม้หอม ส้นไม้ที่ยื่นออกมานั้นเรียกว่า ไว่เกาตี่ หรือ ใบแปะก้วย หรือ ดอกบัว และอื่นๆอีกหลายชื่อ และส่วนส้นไม้ที่ซ่อนไว้ภายในเรียกว่า หลี่เกาตี่ หรือ หมวกนักพรต ส่วนผู้สูงอายุจะสวมรองเท้าพื้นเรียบ เรียกว่า ตี่เอ๋อร์เซียง
穿弓鞋的妇女(山西宾宁寺明《水陆画》局部) |
高底弓鞋 |
翘头小脚银鞋
|
เครื่องประดับศีรษะของผู้หญิง
สตรีชาวหมิงจะหวีผมเป็นมวยรูปไข่ มวยเป็นก้อนไว้บนศีรษะ เครื่องประดับก็เป็นดอกไม้ที่ทำจากอัญมณี เรียกว่า เทียวซินจี้ ภายหลังก็เริ่มมวยให้ผมสูง ดึงปมด้วยไหมเงินไหมทอง และประดับมรกต ซึ่งเครื่องประดับบนศีรษะก็ค่อยๆเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ ทรงผมมวยที่จากเดิมเป็นรูปไข่ก็กลายเป็นทรงรียาว มีทรงผม มวยยอดท้อ มวยตับห่าน เป็นต้น และยังมีทรงที่เลียนแบบจากยุคฮั่นคือ ทรงตกหลังม้า นอกจากนี้แล้ว สตรีชาวหมิงยังนิยมใช้ผมปลอมอีกด้วย วิกผมเหล่านี้จะมีความสูงกว่าผมเดิมครึ่งหนึ่ง เวลาใส่ก็จะสวมไว้บนผมและติดกิ๊บเพื่อให้อยู่ทรง ช่วงปลายราชวงศ์หมิง
วิกผมทรงที่ได้รับความนิยมได้แก่ ทรงขี้เกียจหวี (ปล่อยผม) ทรงอีแอ่นคู่ ทรงหมอนหลวม เป็นต้น และถึงขนาดทำไว้ขายกันเลยทีเดียว
簪珠翠发饰的贵妇及挂玉佩的侍女(陈洪绶《夔龙补衮图》) |
金凤簪(湖北蕲春蕲州明刘娘井墓出土)
|
如意头簪(四川成都营门口明墓出土) |
ที่คาดผม
ในหมู่สาวน้อยชาวหมิงนั้น ยังมีแฟชั่นนิยมที่คาดผมอีกด้วย แรกเริ่มเดิมที ที่คาดผมทำจากเส้นไหมสีน้ำตาลที่ถักเป็นตาข่าย สวมไว้บนหัว ต่อมาผู้ที่ใช้มันก็ค่อยๆเพิ่มขึ้น และปรากฏเป็นแถบคาดผมผ้าไหมและผ้าเร่อหลัว บทบาทของที่คาดผมจากที่แต่เดิมใช้เป็นเพื่อจัดทรงผม ภายหลังได้กลายเป็นเครื่องประดับศีรษะประเภทหนึ่ง และสุดท้ายพัฒนามาเป็นเพียงแถบแคบๆที่ใช้คาดผมเหนือหน้าผากเท่านั้น
เสื้อเกราะหมิงกวง (ชุดเกราะประกายแสง)
ชุดเกราะหมิงกวงเป็นชุดเกราะที่มีชื่อเสียงของจีนยุคโบราณ ลักษณะที่เด่นที่สุดของมันก็คือมีแผ่นกระจกทรงกลมติดอยู่ที่หน้าอกและด้านหลังทั้งซ้ายและขวา แผ่นกระจกนี้จะสะท้อนแสงเมื่อต้องกับแสงอาทิตย์ จึงทำให้มีแสงกระพริบระยิบระยับ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ได้ชื่อ ว่าเสื้อเกราะประกายแสงนี้มา นอกจากจะมีการประดับกระจกแล้วนั้น บริเวณหัวไหล่ของเสื้อเกราะประกายแสงนี้ยังตกแต่งด้วยเกราะไหล่สำหรับป้องกันรูปหัวสัตว์อารักษ์ขาอีกด้วย ซึ่งช่วยแสดงถึงความแกร่งกล้าสามารถของนายพล
胄甲穿戴展示图(根据出土陶俑复原绘制)
ลวดลายบนเครื่องแต่งกาย
ผู้คนในสมัยนี้จะนำรูปร่างที่แตกต่างกันมาประกอบลายขึ้นเป็นลวดลายเดียวกัน หรืออาจจะเป็นเรื่องของความหมายหรือการพ้องเสียงกับคำความหมายดี ซึ่งเป็นการแสดงถึงความปรารถนาความต้องการต่างๆหรืออาจจะเป็นเพียงเพื่อแสดงความรู้สึกของพวกเขา ลวดลายที่เต็มไปด้วยสัญลักษณ์ดั้งเดิมของชนเผ่าจีนพวกนี้ ถูกเรียกว่า “ลวดลายมงคล” โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับลวดลายสมัยหมิงซึ่งเห็นได้อย่างชัดเจน เช่น “สุขมาจากฟ้า” “เงินทองเต็มบ้าน”(กิมเง็กมั่วตึ๊ง) “เหลือกินทั้งปี” “แปดมงคล” เป็นต้น ถึงแม้ว่าลวดลายพวกนี้จะไม่เหมือนกัน การประกอบลายค่อนข้างซับซ้อน แต่ทว่าพอเวลาไปอยู่บนผืนผ้าแล้วก็กลมกลืนเข้ากันได้เป็นอย่างดี ลวดลายหลักที่ใช้เป็นโครงก็เช่น ลายเมฆ ลายใบไม้ ลายสายรุ้งที่ให้ความรู้สึกมีชีวิตชีวา
明缂丝葫芦纹藏袍(童服)。葫芦纹是明朝年节所穿的服饰纹样, 取福禄吉庆之意,俗称“大吉葫芦”,私人收藏。
|
北京定陵出土明万历皇帝织金妆花纱柿蒂形过肩龙阑(复制件,北京定陵博物馆藏)
|