中国传统服饰
“有礼仪之大,故称夏;有服章之美,谓之华”
มากจรรยา มารยาทงาม นามว่าเซี่ย อาภรณ์เพริศ เลิศตระการ ขานว่าฮว๋า
อุปกรณ์ที่ใช้สำหรับประดับตกแต่งร่างกายของชาวจีนแต่ละประเภทในสมัยบรรพกาล ทั้งเสื้อผ้าก็ดี เครื่องประดับศีรษะก็ดี หรือพวกรองเท้าต่างๆนั้น ล้วนแต่เป็นแบบเดียวกันกับชนเผ่าอื่นๆบนโลก ส่วนรูปแบบและโครงสร้างจะค่อยๆถูกพัฒนาไปตามวิถีชีวิตของแต่ละชนเผ่าในภายหลัง จากการวิจัยและค้นคว้าทางโบราณคดีด้านเครื่องแต่งกายโบราณ ก็จะเห็นได้ถึงความมีเอกลักษณ์ของเสื้อผ้ายุคดึกดำบรรพ์ ส่วนในการประเมินค่าโบราณวัตถุชิ้นต่างๆ เครื่องแต่งกายถือเป็นบรรทัดฐานในการแบ่งยุคสมัยได้ด้วย เครื่องแต่งกายโบราณที่ตกทอดมาจนถึงปัจจุบันนั้นมีจำนวนไม่มากนัก ชิ้นโบราณวัตถุ เครื่องประดับ ประติมากรรมรูปสลักต่างๆหรือจารึกโบราณที่เกี่ยวกับเครื่องแต่งกาย นอกจากจะเอาไว้ใช้ศึกษาแล้ว ก็ยังเป็นหลักฐานอ้างอิงทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญมากๆอีกด้วยเช่นกัน
ยุคหิน
มนุษย์ยุคหินเก่าตอนปลายได้รู้จักการเย็บปักถักร้อยกันแล้ว มีการขุดพบเข็มกระดูกของมนุษย์ถ้ำบริเวณแหล่งวัฒนธรรมหมู่บ้านโจวโข่วเตี้ยน จนกระทั่งถึงตอนปลายของยุคหินใหม่ การเป็นชนเผ่าคนละเผ่าซึ่งอาศัยอยู่ในคนละดินแดนกัน ก็ทำให้รูปแบบของเครื่องแต่งกายมีความแตกต่างกันไปด้วย เช่นทรงผม บริเวณแหล่งวัฒนธรรมอ่าวต้าตี้นิยมตัดผมทรงปะบ่า แหล่งวัฒนธรรมหม่าเจียเหยาก็มักถักผมเปียไว้ด้านหลัง ทางแหล่งวัฒนธรรมต้าเวิ่นโข่วมีการใช้เขี้ยวหมูป่ามาทำเป็นที่คาดผมหรือบริเวณแหล่งวัฒนธรรมลุงชาน (หลงซาน) ที่มีการใช้ปิ่นปักผมซึ่งทำมาจากกระดูก ณ เนินหินเสินมู่ บริเวณแหล่งวัฒนธรรมลุงชานมณฑลส่านซีมีการขุดพบหยกสลักรูปศีรษะมนุษย์ซึ่งปรากฏทรงผมที่แสดงให้เห็นถึงการใช้กระดูกสัตว์มาทำเป็นปิ่นปักผม และยังขุดพบปิ่นกระดูกที่ชุมชนโบราณเอ้อหลี่โถวและชุมชนโบราณตงเซี่ยเฝิงในบริเวณแหล่งวัฒนธรรมเอ้อหลี่โถวสมัยราชวงศ์เซี่ย ทั้งข้าวของเครื่องใช้ในหมู่บ้านแห่งนี้ก็ยังมีความคล้ายคลึงกับโบราณวัตถุที่อยู่ในสมัยซาง ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ทราบว่าการรวบผมและจัดแต่งทรงผมเป็นวัฒนธรรมการแต่งกายที่มีเอกลักษณ์ในอดีตอันยาวนานอย่างหนึ่งของชนชาติจีน
戴卷筒式冠巾、穿华丽服装的贵族男子
(河南安阳殷墟妇好墓出土玉人)
先秦的服饰
เครื่องแต่งกายยุคก่อนสมัยฉิน
ประมาณ 2100 -221 ปีก่อนคริสตกาล
ยุคสมัยก่อนราชวงศ์ฉิน ซึ่งประกอบด้วย ยุคเซี่ย ยุคซาง ยุคโจวตะวันออก ยุคชุนชิวและยุคจ้านกว๋อ รวมทั้งสิ้น 5 ยุค เครื่องแต่งกายจีนนั้นก็ได้ยึดแบบแผนและพัฒนามาจากการแต่งกายในยุคเซี่ย ซาง และโจวตะวันออกนี้เอง ห้ามหาราชชุนชิว เจ็ดผู้ยิ่งใหญ่จ้านกว๋อ เวทีนักปราชญ์ บรรดาราษฎร์ห้ำหั่น ซึ่งแสดงถึงสภาวะทางความคิดของราษฎรเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและความกระตือรือร้นอันเนื่องมาจากความไม่สงบของสังคมในยุคชุนชิวจ้านกว๋อ ทำให้เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายได้มีการพัฒนาและการแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกันอย่างรวดเร็ว กลายเป็นวัตถุทางวัฒนธรรมและจิตวิญญาณแห่งวัฒนธรรมทางสังคม ลักษณะโดยรวมของเครื่องแต่งกายในช่วงเวลาก่อนยุคฉินจะยึดตามแนวทางของลัทธิขงจื่อเป็นหลักสำคัญ ซึ่งสะท้อนแนวคิดทางจักรวาลวิทยาและแนวคิดทางจริยธรรมที่เรียบง่ายของจีนในยุคเริ่มแรก อันมีบทบาทสำคัญต่อระบบแบบแผนการปกครองในช่วงเวลานั้นด้วย
สมัยซางและโจวตะวันตก
เครื่องแต่งกายโบราณสมัยซางและโจวตะวันตกไม่มีเหลือสืบทอดมาจนถึงปัจจุบันแต่จากเครื่องหยกและรูปเหมือนมนุษย์ที่ขุดพบจากสุสานโบราณโหวเจียจวงเมืองโบราณอันหยาง [อยู่ในมณฑลซีอัน ในอดีตเรียกว่าฉางอันหรือเตียงอัน] และสุสานโบราณฟู่ห่าวทำให้พอทราบว่าสตรีชั้นสูงราชสำนักซางสวมเสื้อที่ปกคอไขว้กัน สวมกระโปรง ผูกผ้าพันเอว และมีแพรแถบด้านหน้าที่ยาวถึงเข่า ส่วนวัตถุโบราณที่เป็นรูปเหมือนคนในสมัยโจวตะวันตกที่หลงเหลือนั้นก็มีอยู่ไม่มาก เมื่อสังเกตจากหยกแกะสลักรูปมนุษย์โบราณในแหล่งวัฒนธรรมลั่วหยาง(ลกเอี๊ยง) และรูปหล่อทองแดงรูปคนและรถม้า ทั้งเสื้อ กระโปรง เข็มขัด แถบผ้า ล้วนเป็นเป็นส่วนประกอบของเครื่องแต่งกายพื้นฐานของบุรุษชั้นสูง สีของเสื้อจะเป็นกลุ่มสีเจิง (เขียวเข้ม แดง เหลือง ขาว ดำ) กระโปรงใช้กลุ่มสีเจียน (ส้ม เขียว ม่วง) ซึ่งจะให้ความสำคัญกับแถบผ้าที่ใช้เย็บกระโปรงมาก เครื่องหล่อทองแดงจากสมัยโจวตะวันตกได้จารึกข้อความของโจวอ๋องถึงเรื่องเครื่องแต่งกายในพิธีแต่งตั้งเลื่อนขั้นว่า กระโปรงใช้朱zhū市shì、葱cōng黄huáng(มาจากจารึกในหม้อสำฤทธิ์เหมากง) 市、黄(มาจากจารึกในหม้อโลหะมีฝาปิดชนิดหนึ่ง) เป็นต้น ตัวอักษร市黄และ衡héngหมายถึงแพรแถบ ซึ่งตัวอักษร 衡 จะมีความหมายรวมไปถึงแพรแถบที่ห้อยเครื่องหยก รูปปั้นที่พบที่สุสานสมัยจ้านกว๋อทั้งที่ซิ่นหยาง-ฉางไถในมณฑลเหอหนานและที่สุสานเจียงหลิง-จี้หนานในมณฑลหูเป่ย ทุกตัวต่างแขวนแพรแถบประดับไว้ด้านหน้าทั้งสิ้น การที่เหล่าผู้ดีต่างๆแขวนหยกไว้ที่กระโปรงนั้นทำให้แลดูมีสีสันสดใส ซึ่งเป็นที่ดึงดูดของคนรอบข้างทั้งยังเป็นสัญลักษณ์บนร่างกายที่แสดงถึงตำแหน่งอีกด้วย
ชุนชิวจ้านกว๋อ
สมัยนี้ชุดเซินอีและชุดหูฝูได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย และเนื่องจากการใส่เสื้อกับกระโปรงนั้นไม่ค่อยสะดวก จึงทำให้มีการปรับปรุงและสร้างเสื้อเซินอีขึ้นมา โดยนำเสื้อและกระโปรงมาเย็บเป็นชุดเดียวกัน แล้วสวมในลักษณะของชุดคลุม โดยแหวกช่องสำหรับเป็นสาบเสื้อด้านหน้า แต่ด้านหลังยังติดกันอยู่( ลักษณะคล้ายเสื้อเชิ้ตตัวใหญ่ที่สามารถใส่คลุมได้ถึงเข่า) และเนื่องจากคนสมัยนั้นยังไม่สวมกางเกง จึงต้องใช้ผ้าพันร่างกายไว้แน่นๆถึงจะได้ไม่โป๊มาก เนื่องจากเสื้อเซินอีสวมพันร่างกายไว้อย่างหนาแน่น จึงได้เป็นที่มาของชื่อ ก็คือ เซินอี แปลว่าชุดรัด สาบเสื้อของเซินอี หลักๆมีสองแบบ คือสาบเสื้อแหลม และสาบเสื้อตรง เสื้อเซินอีได้รับความนิยมในสมัยจ้านกว๋อบริเวณซากโบราณสถานของเมืองต่างๆ เช่น ปราสาทโจวหวางอ๋องเมืองจ้าว เมืองจงซาน เมืองฉิน และเมืองฉีได้ขุดพบเจอโบราณวัตถุลักษณะคล้ายคนสวมชุดเซินอีและรูปคนสวมเสื้อเซินอีแกะสลักจากไม้จากสุสานแคว้นฉู่มีรายละเอียดต่างๆที่แสดงให้เห็นบนเสื้อผ้าอย่างชัดเจน
男子的曲裾深衣 |
穿深衣的楚国妇女(湖南长沙陈家大山楚墓出土帛画) |
เสื้อแขนสั้นเป็นหนึ่งในจุดเด่นของเสื้อผ่าของชาวแคว้นฉู่ บริเวณสุสานหมายเลข ๑ ของแคว้นฉู่ที่ภูเจียงหลิงหม่าได้ขุดพบ “เสื้อ”แขนสั้นที่เรียกว่า อีจี๋อี ในบันทึก ซัวเหวิน กล่าวไว้ว่ามันคือเสื้อแขนสั้นชนิดหนึ่ง สังเกตจากเครื่องแต่งกายรูปคนที่แกะสลักอยู่บนระฆังชุดเฉิงโหวอี มองเห็นเป็นคนสวมเสื้อแขนสั้น (เฉิงโหวอี คือระฆังที่สามารถเคาะบรรเลงเป็นเพลงได้ เพราะลูกระฆังแขวนไล่ระดับเสียงกันสามออกเตฟหรือมากกว่า)
เครื่องแต่งกายของชาวหู
(ชาวหูคือคำที่ชาวฮั่นใช้เรียกคนต่างเผ่า เช่น อินเดีย เปอร์เซีย ชนกลุ่มน้อยทางเหนือ หรือชาวตะวันออกกลาง)
เครื่องแต่งกายของชาวหู ปกติเป็นเสื้อกับกางเกง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับกางเกงขายาวที่มีเอกลักษณ์ อันเป็นเครื่องแต่งกายของชนเผ่าบนทุ่งหญ้าทางเหนือของจีน ซึ่งสะดวกต่อการขี่ม้า ชาวหูส่วนมากสวมเสื้อรัดรูป กางเกงและรองเท้า เครื่องแต่งกายลักษณะนี้ ในบันทึกของจ้าวซื่อเจีย ได้ระบุว่า อ๋องเจ้าซื่อหลิงได้นำมาใช้สำหรับเป็นเครื่องแบบของทหารในกองทัพ รูปเหมือนของทหารที่ค้นพบ ณ บริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำฉางจื้อ ส่วนบนเป็นเสื้อปกคอตรง ส่วนล่างเป็นกางเกงขายาว บริเวณเอวมีเข็มขัดรัด ห้อยกระบี่ ซึ่งก็คือรูปแบบการแต่งกายของชาวหูที่ถูกนำมาใช้ในกองทัพแคว้นเจ้า
มาลามงกุฎ(เหมี่ยนกวาน)
จักรพรรดิของจีนซึ่งได้รับการขนานพระนามกันว่าเป็นโอรสแห่งสวรรค์นั้น มีความหมายว่า บุตรของพระเจ้า เป็นตัวแทนของพระราชโองการแห่งพระเจ้า‘เหมี่ยนกวาน’ หรือมาลามงกุฎ เป็นสัญลักษณ์ที่แสดงให้เห็นถึงความศักดิ์สิทธิ์ของพระจักรพรรดิ เหมี่ยนกวานมีลักษณะเป็นหมวกที่มีรูปทรงคล้ายกระบอกม้วนอยู่บนศีรษะ คลุมด้านบนด้วยแผ่นมงกุฎที่ทำจากไม้ ซึ่งแผ่นไม้นั้นด้านหน้ากลมมน ด้านหลังเรียบตรง ตามความเชื่อของคนโบราณที่ว่าสวรรค์กลมน พสุธาเรียบตรง โดยส่วนบนของแผ่นไม้เป็นสีดำ ส่วนล่างเป็นสีเหลือง มีความหมายถึงสรวงสวรรค์และผืนแผ่นดิน นอกจากนี้ยังแขวนลูกปัดหยก ๕ สีที่ด้านหน้าและด้านหลังอีกด้วย ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงวันเวลาหนึ่งปีที่ไหลเวียนไปไม่หยุด และยังมีสายห้อยลูกปัดหยกถ่วงยาวลงมาประดับหูข้างละหนึ่งเม็ด เป็นสิ่งเตือนให้พระจักรพรรดิอย่าได้เชื่อคำพูดใสร้ายของคนง่ายๆ เหมี่ยนกวานของพระจักรพรรดินั้นเวลาสวมใส่แล้วมีลักษณะเทลาด หมายถึงการดูแลอาณาประชาราษฎร์ ซึ่งเป็นหน้าที่ตามความเชื่อดั้งเดิมของโอรสแห่งสวรรค์ และนี่ก็เป็นความหมายของตัวอักษร “冕(miǎn)”
![]() |
冕冠图
|
ฉลองพระองค์ในพระราชพิธี หรือ “เหมี่ยนฝู”
พระจักรพรรดิของจีนในสมัยโบราณนั้นมีฉลองพระองค์ที่วิจิตรงดงามไว้สำหรับสวมใส่ในเวลาประกอบพระราชพิธี เรียกว่า ‘เหมี่ยนฝู’ โดยเหมี่ยนฝูนี้ประกอบไปด้วยสองส่วนด้วยกัน คือส่วนฉลองพระองค์อย่างทางการ และส่วนมาลามงกุฎหรือเหมี่ยนกวาน ซึ่งทั่วไปจะทรงสวมเข้าชุดกับเข็มขัดและฉลองพระบาทสีแดง(หรือ Chì xì)ที่เหมาะสมกัน ซึ่งนอกจากเข็มขัดและรองเท้าแล้วจะมีเสื้อคลุมยาวคล้ายกระโปรงเป็นส่วนประกอบด้วย ฉลองพระองค์ส่วนบนจะใช้สีดำซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของสรวงสวรรค์ ส่วนล่างใช้สีเหลืองที่เป็นสัญลักษณ์ของพื้นพิภพ โดยที่ตัวฉลองพระองค์ส่วนบนปักเป็นภาพที่แตกต่างกันหกภาพ และเสื้อส่วนล่างจะปักภาพที่แตกต่างกันอีกหกภาพ ภาพทั้งสิบสองนี้เรียกรวมกันว่า “สัญลักษณ์๑๒ ประการแห่งจักรพรรดิ ”
皇帝冕服图(据后世史料描绘) |
赤舄图(据后世史料描绘)
|
สัญลักษณ์ ๑๒ ประการแห่งจักรพรรดิ
สัญลักษณ์ ๑๒ ประการแห่งจักรพรรดิ ได้แก่ ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ กลุ่มดาว ภูเขา มังกร ไก่ฟ้า จอกบูชา สาหร่าย เมล็ดข้าว เปลวไฟ ขวาน และอักษรฝู ซึ่งภาพทั้ง ๑๒ นั้นต่างก็มีความหมายแตกต่างกันไป ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และกลุ่มดาว แสดงถึงความรุ่งโรจน์ ภูเขาแสดงถึงความมั่นคง มังกรแสดงถึงการเปลี่ยนแปลง ไก่ฟ้าแสดงถึงความละเอียดอ่อนทางภาษา ไฟแสดงถึงความร้อน(อัจฉริยะภาพอันสว่างสุกใสของพระองค์) ข้าวแสดงถึงความอุดมสมบูรณ์ สาหร่ายแสดงถึงความบริสุทธิ์ไร้มลทิน จอกบูชาแสดงถึงคุณธรรมของจักรพรรดิในการเทิดทูนบรรพชน ขวานแสดงถึงการตัดสิน และอักษรฝูแสดงถึงความสามารถในการจำแนกผิดชอบชั่วดี
十二章纹
ปิ่น
ปิ่นใช้ในการตรึงมวยผมและใช้ในเวลาสวมหมวกกวาน ทำจากวัสดุหลายอย่าง เช่น กระดูก, เปลือกหอย, หยก, ทองแดง, เงิน, ทอง เป็นต้น บนตัวปิ่นมักมีหินสีเขียวขุ่นตกแต่งอยู่ข้างบน สตรีชาวจีนในสมัยโบราณ หากมีอายุ 15ปีบริบูรณ์ก็ถือว่าเป็นผู้ใหญ่แล้วและสามารถประกอบพิธีหมั้นได้ ซึ่งจะต้องจัดพิธี ‘ปักปิ่น’ เป็นพิธีที่หญิงซึ่งแต่งงานแล้วหวีมวยผมให้แก่หญิงสาวที่เข้าพิธีและปักปิ่นผมให้เมื่อสิ้นสุดพิธีการ ถ้าหากสตรีนั้นยังมิได้ประกอบพิธีหมั้นก็จะจัดพิธีปักปิ่นขึ้นเมื่ออายุ 20 ปี ปิ่นถือได้ว่าเป็นเครื่องประดับศีรษะที่สำคัญอย่างมากในจีนในสมัยโบราณ บนตัวปิ่นมักสลักลวดลายต่างๆ และปิ่นนี้ภายหลังก็ได้ได้ถูกพัฒนาจนกลายมาเป็นกิ๊บติดผมในที่สุด
商代笄饰男女
|
![]() |
商代骨笄 (传世实物,原件现藏上海博物馆) ปิ่นที่ทำจากกระดูกในยุคซาง |
เครื่องหยก
ขงจื้อมีความเชื่อว่า หยกที่สวยงามเป็นสัญลักษณ์ของความสูงศักดิ์แห่งบุรุษเพศ ดังนั้นชาวจีนในสมัยโบราณจึงให้ความสำคัญกับเครื่องหยกเป็นอย่างมาก เครื่องหยกจึงมีหลายประเภทด้วยกัน เครื่องประดับที่ทำจากหยกก่อนยุคฉินนั้นก็เช่น หยกสลักลายคน หยกสลักลายมังกร หยกสลักลายปักษา หยกสลักลายสัตว์ป่า และอื่นๆ และมีเครื่องหยกอีกเป็นจำนวนมากที่ใช้เชือกร้อยเป็นพวง บ้างก็ใช้เป็นหัวเข็มขัดหรือใช้กลัดคอเสื้อ แลสวยงามยิ่งนัก
战国晚期玉镂空龙凤合体纹佩 |
鹦鹉玉佩 |
变形玉璧 |
西周时期的玉玦样式
|
เครื่องแต่งกายของผู้ชายสมัยโจว
เสื้อผ้าของผู้ชายในสมัยโจว เป็นเสื้อผ้าแบบหลวมๆ แขนเสื้อกว้าง ปกเสื้อเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า เนื่องจากในยุคนี้ยังไม่มีเข็มขัดหนัง จึงใช้ผ้ารัดแทน และมักห้อยเครื่องประดับหยกไว้ที่ผ้ารัดเอวนั้นด้วย นอกจากนี้บริเวณท้องของผู้สวมใส่มักห้อยแพรแถบที่ข้างบนแคบข้างล่างกว้างสำหรับประดับให้สวยงาม ซึ่งเดิมทีแพรแถบถูกนำมาใช้เพื่อปิดบังส่วนที่ไม่ต้องการให้ผู้อื่นเห็น แต่ภายหลังก็ได้ถูกพัฒนาและปรับปรุงแก้ไขจนกลายมาเป็นสัญลักษณ์ของการแบ่งแยกชนชั้นผ่านเครื่องแต่งกาย
戴冠、穿窄袖衣、佩韦鞸的贵族男子 (西周玉人, 原件现藏美国哈佛大学福克美术馆) |
![]() |
![]() |
|
ตะขอ (สำหรับใช้เกี่ยวสายรัดเอว)
ตะขอชนิดนี้ใช้เกี่ยวไว้ที่ปลายปลายสายรัดเอวสำหรับยึดให้แน่น ผู้ดีในช่วงเวลาก่อนยุคฉินนิยมใช้ตะขอเหล่านี้มาเป็นเครื่องประดับชนิดหนึ่ง และแฟชั่นช่วงนี้ยิ่งทำให้การใช้ตะขอเกี่ยวสายรัดเอวมีความหลากหลายมากขึ้นไปอีก การผลิตก็ยิ่งมีความน่าสนใจ นอกจากใช้สำหรับคาดเอวและประดับตกแต่งแล้ว ตะขอนี้ก็ยังสามารถห้อยไว้ที่เอวสำหรับแขวนดาบ กระจก ตราประทับหรือสิ่งของอื่นได้อีกด้วย
金银错带钩 |
黄金嵌玉带钩 传世实物,原件现在美国哈佛大学弗格美术馆 |
包金嵌玉银带钩 (河南辉县出土战国实物) |
金银错铲形带钩 (传世实物,原件现在美国福克美术馆) |
嵌宝螭龙纹带钩(传世实物,原件现在美国福克美术馆) |
หมวกสำหรับออกรบ
ส่วนใหญ่ในกองทัพในช่วงเวลาก่อนยุคฉินจะใช้หมวกทองแดงและเสื้อเกราะหนังเพื่อป้องกันตัวเอง โดยบนยอดหมวกทองแดงจะมีรูสำหรับเสียบพู่อยู่หนึ่งรู พู่ที่ใช้เสียบทีรูบนหมวกมักเป็นพู่ขนนก เนื่องจากนกเป็นสัตว์ที่สู้จนตัวตาย จึงเปรียบเสมือนเป็นการกระตุ้นทหารให้สู้อย่างนก เสื้อเกราะหนังก็มีทั้งเสื้อเกราะหนังแรด เสื้อเกราะวัวป่า โดยทั่วไปจะนำหนังสัตว์เหล่านั้นมาแผ่ออกเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า และใช้เชือกเย็บทำเป็นเสื้อเกราะ ประดับลวดลายสวยงาม เป็นเสื้อเกราะหลากสีสันสวยงามประกอบธง ซึ่งไม่เพียงแต่เป็นการประกาศแสนยานุภาพเท่านั้น หากแต่ยังเป็นการจำแนกกลุ่มให้เห็นได้ชัดว่าเป็นมิตรหรือศัตรู
商代铜盔(北京故宫博物院藏) |
春秋时期的青铜盔帽 |
战国时期的武士服装(按照河南汲县山彪镇出土的铜鉴纹饰摹绘)
|
ลวดลาย
ลวดลายในช่วงเวลาก่อนยุคฉินมักเป็นลาย มังกร หงส์ สัตว์ เป็นหลัก ซึ่งมีความหมายในตัว ลายที่แพร่หลายที่สุดในสมัยนั้นคือหงส์และมังกร ซึ่งแสดงถึงตำแหน่งและพระบารมีของพระราชวงศ์ และยังเป็นการแสดงถึงความยินดีในพิธีมงคลสมรส นกกระเรียนและกวางแสดงถึงการมีอายุยืนยาว นกฮูกแสดงถึงชัยชนะ ในรูปภาพเหล่านี้มักใช้ภาพธรรมชาติและภาพเหนือธรรมชาติมารวมกันไว้บนลายกิ่งก้านบุปผาชาติหรือเถาวัลย์ ทำให้ภาพเหล่านั้นแลดูมีชีวิตชีวา สลับซับซ้อนแต่ไม่รกรุงรัง ซึ่งลวดลายต่างๆบนเสื้อในยุคก่อนสมัยฉินนี้มักเป็นงานปัก
![]() |
皇帝冕服上的纹样 |
湖北江陵马山砖厂1号战国楚墓出土龙凤虎纹刺绣
|